What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-24 11:34:06

maiakee on Nostr: ...



หลังจากได้สนทนาอย่างออกรสกับ คุณ Jakk Goodday เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ที่เชื่อมโยงกับ ทฤษฎี Quantum Entanglement เลยทำให้ผมอยากทำบทความนี่ขึ้นมา แต่จะเน้นไปในการอ้างอิงคำ ตถาคต หรือ พุทธพจน์ ซะมากกว่า เพราะผมเชื่อว่า พุทธศาสนา กับ Quantum นั้นอธิบายความจริงเดียวกันแต่คนละแง่มุม และ น่าทึ่งที่พระพุทธเจ้าได้หยั่งรู้ถึงความรู้เหล่านี้ไว้หมดแล้วตั้งแต่ 2,500 กว่าปีก่อน

🪷กฎแห่งกรรม ปฏิจจสมุปบาท และควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์: ความเชื่อมโยงระหว่างจิต วิทยาศาสตร์ และจักรวาล

ในพระพุทธศาสนา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นแนวคิดพื้นฐานที่อธิบายว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยลำพัง แต่มีความเกี่ยวพันกันทั้งหมด หลักการนี้สามารถอธิบายได้ผ่านแนวคิดของ Quantum Entanglement ในฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งกล่าวว่า อนุภาคสองอนุภาคสามารถเชื่อมโยงกันได้ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันเป็นระยะทางไกลมหาศาล เมื่ออนุภาคหนึ่งเปลี่ยนสถานะ อีกอนุภาคจะเปลี่ยนไปด้วยทันที ราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ! ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ…” (มหานิทานสูตร, ทีฆนิกาย)

ซึ่งหมายถึงว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ ทุกอย่างต้องมีปัจจัยเป็นที่ตั้ง นี่สะท้อนถึงหลักการของควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์ที่ว่า อนุภาคที่เคยเชื่อมโยงกันจะมีผลต่อกันตลอดไป เช่นเดียวกับจิตและกรรมที่สั่งสมไว้

Morphic Field และกฎแห่งกรรม

นักชีววิทยา Rupert Sheldrake ได้เสนอแนวคิด Morphic Field ซึ่งเป็นสนามพลังงานที่สะสมข้อมูลและลักษณะทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต คล้ายกับแนวคิดของ “อาลัยวิญญาณ” ในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลกรรมของสรรพสัตว์ สนามนี้เป็นตัวกำหนดรูปแบบพฤติกรรม สัญชาตญาณ และการพัฒนาในสิ่งมีชีวิต

ตัวอย่างหนึ่งที่อธิบายแนวคิดนี้ได้คือ แม้ว่ามนุษย์จะมี Gene ที่คล้ายคลึงกัน แต่รูปพรรณสัณฐานและพฤติกรรมกลับแตกต่างกัน นี่อาจเกิดจากพลังของ Morphic Field ซึ่งสะสมข้อมูลกรรมและส่งผ่านข้อมูลผ่าน Morphic Resonance

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” (ขุททกนิกาย, อิติวุตตกะ)

หมายถึงว่า สรรพสัตว์มีลักษณะเป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้ในอดีต ไม่ใช่เพียงแค่ทางร่างกาย แต่รวมถึงพฤติกรรม ความคิด และสภาวะจิต ซึ่งคล้ายกับแนวคิดของ Morphic Field ที่พฤติกรรมของคนในอดีตสามารถส่งผลต่อคนในปัจจุบันได้

Orch OR: จิตสำนึกและกระบวนการควอนตัม

นักฟิสิกส์ Roger Penrose และแพทย์ Stuart Hameroff ได้เสนอทฤษฎี Orchestrated Objective Reduction (Orch OR) ซึ่งอธิบายว่า จิตสำนึกไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของปฏิกิริยาเคมีในสมอง แต่เป็นกระบวนการควอนตัมที่เกิดขึ้นใน Microtubules ซึ่งเป็นโครงสร้างระดับจุลภาคภายในเซลล์สมอง

ในทฤษฎีนี้ อิเล็กตรอนที่อยู่ใน Microtubules จะมีพฤติกรรมแบบควอนตัม สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน (Superposition) และเมื่อเกิดการสังเกตหรือการตัดสินใจ Wave Function Collapse จะทำให้สภาวะของจิตสำนึกเกิดขึ้น

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตไว้ว่า

“จิตนี้แล เป็นธรรมชาติที่ผ่องใส แต่เศร้าหมองไปเพราะกิเลสที่จรมา” (องคุลิมาลสูตร, สังยุตตนิกาย)

ซึ่งหมายความว่า จิตมีสภาพเป็นอิสระและเคลื่อนไหวได้เร็วมาก คล้ายกับแนวคิดของคลื่นควอนตัมที่สามารถเปลี่ยนสถานะได้ตลอดเวลา และมีความสัมพันธ์กับ Morphic Field ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลและแนวคิดต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ

ขันธ์ 5, Many-Worlds Interpretation และกระบวนการเกิดดับของจิต

ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ ซึ่งไม่มีตัวตนถาวร เป็นเพียงกระแสของการเกิด-ดับที่สืบเนื่องกัน

ในทางฟิสิกส์ควอนตัม Many-Worlds Interpretation กล่าวว่าทุกการสังเกตหรือการตัดสินใจจะทำให้เอกภพแยกออกไปเป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน นี่คล้ายกับการเวียนว่ายตายเกิดของจิตที่เปลี่ยนผ่านไปตามกรรมในแต่ละภพชาติ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณนี้ย่อมท่องเที่ยวไป (ภพใหม่) อาศัยกายและอาหารเป็นปัจจัย” (อุปาทานสูตร, สังยุตตนิกาย)

ซึ่งหมายความว่า วิญญาณ (การรับรู้) เปลี่ยนแปลงไปตามกรรมและปัจจัยของมัน เช่นเดียวกับที่ทฤษฎีควอนตัมอธิบายว่า ทุกความเป็นไปได้สามารถเกิดขึ้นได้ในเอกภพที่แตกต่างกัน

Implicate Order และนิพพาน

นักฟิสิกส์ David Bohm ได้เสนอแนวคิด Implicate Order ซึ่งกล่าวว่า จักรวาลทั้งหมดเป็นโครงสร้างที่เชื่อมโยงกัน ทุกสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียง Hologram หรือภาพลวงตาของระเบียบแฝงที่ซ่อนอยู่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“โลกนี้ว่างเปล่า เพราะไม่มีตัวตนที่แท้จริง” (สุญญตสูตร, มัชฌิมนิกาย)

สิ่งนี้หมายความว่า ทุกสิ่งที่เรารับรู้เป็นเพียงภาพมายาที่เกิดจากขันธ์ 5 และเมื่อขันธ์ 5 ดับไป สภาวะนิพพานหรือสภาวะของ “Implicate Order” ที่เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลก็ปรากฏขึ้น

สรุป (ครึ่งแรก)

1. กฎแห่งกรรมและ Quantum Entanglement
• ทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกันผ่านเหตุปัจจัย กรรมที่เราสั่งสมมีผลต่อชีวิตและสภาวะจิต เช่นเดียวกับที่อนุภาคในควอนตัมสามารถมีผลต่อกันได้แม้อยู่ห่างกัน
2. Morphic Field และการส่งต่อกรรม
• พลังงานของกรรมอาจถูกเก็บรักษาไว้ใน Morphic Field และส่งต่อไปยังจิตอื่น คล้ายกับการสั่นพ้องของควอนตัม
3. จิตสำนึกเป็นกระบวนการควอนตัม
• ทฤษฎี Orch OR อธิบายว่าจิตสำนึกอาจเป็นผลจากการสั่นพ้องของ Microtubules และ Morphic Resonance ซึ่งคล้ายกับแนวคิดพุทธที่ว่า จิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
4. ขันธ์ 5 และ Many-Worlds Interpretation
• ขันธ์ 5 เกิดดับตลอดเวลา เช่นเดียวกับทฤษฎีควอนตัมที่บอกว่า ทุกทางเลือกสามารถเกิดขึ้นในเอกภพที่แตกต่างกัน
5. นิพพานคือภาวะสูงสุดของจักรวาล
• ทฤษฎี Implicate Order ของ David Bohm อธิบายว่าจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งตรงกับแนวคิดนิพพานในพระพุทธศาสนา

สรุปแล้ว ศาสตร์สมัยใหม่และพุทธศาสนาอาจกำลังอธิบายความจริงเดียวกันผ่านภาษาที่แตกต่างกัน


🪷Holomovement: การเคลื่อนไหวของจักรวาลและความสัมพันธ์กับพุทธปรัชญา

นักฟิสิกส์ควอนตัม David Bohm ได้เสนอแนวคิด Holomovement ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขยายจาก Implicate Order โดยกล่าวว่า จักรวาลทั้งหมดไม่ได้มีโครงสร้างแบบตายตัว แต่เป็นกระบวนการไหลเวียนของพลังงานและข้อมูลอย่างต่อเนื่อง Holomovement เป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นการเคลื่อนไหวของคลื่นพลังงานที่เชื่อมโยงกันตลอดเวลา

สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความสงบระงับจากสังขารทั้งปวงเป็นสุข”
(ขุททกนิกาย, ธัมมปทัฏฐกถา)

Holomovement และขันธ์ 5: การเคลื่อนไหวของจิตและการรับรู้

ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ได้มีอยู่เป็นเอกเทศ แต่เป็นกระบวนการที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับแนวคิดของ Holomovement ที่กล่าวว่า ทุกสิ่งเป็นกระแสของการไหลเวียน ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง

ตัวอย่างเช่น ขันธ์ 5 เปรียบเสมือนกระแสน้ำในแม่น้ำ
• รูป (กายสังขาร) เปรียบเหมือนน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง
• เวทนา (ความรู้สึก) คือแรงกระเพื่อมของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด
• สัญญา (ความจำ/การรับรู้) คือคลื่นบนผิวน้ำที่สะท้อนภาพของโลก
• สังขาร (ความคิด/กรรม) คือกระแสน้ำที่ไหลไปในทิศทางที่ต่างกัน
• วิญญาณ (จิต/การรับรู้) คือศักยภาพของแม่น้ำที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิต

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนกระแสน้ำ ไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆ มิอาจหวนกลับมาได้ฉันใด จิตและขันธ์ทั้งหลายก็เป็นไปเช่นนั้น”
(ขุททกนิกาย, อุดานะ)

ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Holomovement ที่กล่าวว่า ทุกสิ่งในจักรวาลเป็น กระแสของการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดคงที่หรือแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์

Holomovement และกรรม: การเคลื่อนไหวของเหตุและผล

Holomovement ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวของสสารและพลังงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึง กระแสของเหตุและผลที่ส่งผลต่อกันแบบไร้ขอบเขต ซึ่งตรงกับแนวคิดของ กฎแห่งกรรม ที่กล่าวว่า ทุกการกระทำจะส่งผลกระทบต่ออนาคต

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
(ขุททกนิกาย, อังคุตตรนิกาย)

หากมองจากมุมมองของ Holomovement การกระทำ (กรรม) ไม่ได้จบลงแค่ที่ตัวเรา แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสพลังงานที่ไหลผ่านจักรวาล

ตัวอย่าง:
• เมื่อเราทำกรรมดี กระแสพลังงานที่เราปล่อยออกไปจะส่งผลให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี
• เมื่อเราทำกรรมชั่ว กระแสพลังงานนั้นก็จะย้อนกลับมาส่งผลให้ชีวิตของเราเป็นทุกข์

นี่คล้ายกับหลักการของ Quantum Superposition ที่กล่าวว่า ทุกสิ่งสามารถดำรงอยู่ในหลายสถานะพร้อมกัน จนกว่าการกระทำหรือการสังเกตจะทำให้เกิด Wave Function Collapse และผลของกรรมนั้นจะแสดงออกมา

Holomovement, Many-Worlds Interpretation และพุทธปรัชญาเรื่องภพชาติ

ในฟิสิกส์ควอนตัม ทฤษฎี Many-Worlds Interpretation (MWI) กล่าวว่าทุกการตัดสินใจหรือการสังเกตการณ์ ทำให้เอกภพแตกแขนงออกไปเป็นโลกคู่ขนานนับไม่ถ้วน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง ภพชาติ (การเวียนว่ายตายเกิด) ในพุทธศาสนา

“ภพชาติทั้งหลายมีอยู่เพราะตัณหา (ความอยาก) เมื่อไม่มีตัณหา ก็ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่มีทุกข์”
(มหานิทานสูตร, ทีฆนิกาย)

จากแนวคิดของ Holomovement และ Many-Worlds Interpretation
• การเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้หมายถึงร่างกายเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตในแต่ละขณะด้วย
• ทุกการตัดสินใจที่เราทำ อาจนำไปสู่ภพใหม่ในเอกภพคู่ขนานที่ต่างออกไป
• กระแสของจิตนั้นไหลไปตลอดเวลา ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกระแสของ Holomovement

ซึ่งหมายความว่า เรากำหนดภพของเราเองได้ โดยการเลือกกระแสจิตที่เราจะดำรงอยู่

Holomovement และนิพพาน: การคืนสู่สภาวะเดิมของจักรวาล

สุดท้าย แนวคิด Holomovement ยังสามารถนำมาอธิบาย นิพพาน ได้อีกด้วย
• ในทฤษฎีของ Bohm Holomovement เป็นกระบวนการไหลเวียนของพลังงานที่มาจาก Implicate Order และแสดงออกเป็น Explicate Order
• เมื่อทุกสิ่งในจักรวาลดับลง Holomovement ก็จะกลับคืนสู่ Implicate Order ซึ่งเป็นสภาวะดั้งเดิมของจักรวาล
• ในพุทธศาสนา นิพพานคือสภาวะที่พ้นจากการไหลเวียนของสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) และคืนกลับสู่ความสงบอันสมบูรณ์

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานเป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีการปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดจะนำมาเปรียบเทียบได้”
(อุทานสูตร, ขุททกนิกาย)

นี่สะท้อนว่า นิพพานอาจเป็นภาวะที่จิตคืนสู่ Implicate Order และหลุดพ้นจากกระแสของ Holomovement ซึ่งเป็นมายาของโลก

สรุป(ครึ่งหลัง): ความสัมพันธ์ระหว่าง Holomovement และพระพุทธศาสนา
1. Holomovement สะท้อนหลักอนิจจัง
• ทุกสิ่งในจักรวาลเป็นกระแสของการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดอยู่คงที่
2. Holomovement อธิบายขันธ์ 5
• ขันธ์ 5 เป็นเพียงกระบวนการที่ไหลเวียนตลอดเวลา ไม่มีตัวตนถาวร
3. Holomovement สอดคล้องกับกฎแห่งกรรม
• กรรมเป็นพลังงานที่เคลื่อนไหวในจักรวาลและส่งผลต่อทุกสิ่งรอบตัว
4. Holomovement เชื่อมโยงกับ Many-Worlds Interpretation
• ภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิด อาจเป็นผลจากการเลือกเส้นทางในเอกภพคู่ขนาน
5. Holomovement และนิพพาน
• นิพพานอาจเป็นสภาวะที่จิตคืนสู่ Implicate Order และหลุดพ้นจากการไหลเวียนของจักรวาล

ดังนั้น Holomovement อาจเป็นเพียงอีกหนึ่งวิธีในการอธิบายสัจธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวไว้เมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้วว่าทุกสิ่งล้วนเป็นมายา และการดับทุกข์อยู่ที่การคืนสู่สภาวะอันสงบที่เหนือกว่าความเปลี่ยนแปลงทั้งปวง

#Siamstr #nostr #พุทธวจน #ธรรมะ #พุทธศาสนา #ปรัชญาชีวิต #ปรัชญา #quantum #ควอนตัม
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2