Chiepzz on Nostr: #Reflection2023 #siamstr ...
#Reflection2023
#siamstr
“กูโคตรชอบชีวิตตัวเองตอนนี้เลยว่ะ”
เป็นคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัวผมเมื่อสามวันก่อนตอนกำลังนั่งทบทวนตัวเอง หลังจากเลิกงาน Fait วันสุดท้ายของปี 2023 แล้วมันก็วนอยู่ในหัวผมมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าอยากจะแชร์ให้ทุกคนอ่านครับ 555 :D
ตอนแรกผมกะจะมาเล่าชีวิตผมในปี 2023 แต่ก็คิดได้ว่า คนอื่นอาจจะไม่ได้สนใจรายละเอียดชีวิตผมขนาดนั้น เลยจะเปลี่ยนเป็นเล่าว่าผมได้เรียนรู้อะไรที่รู้สึกว่ามีประโยชน์กับผมก็แล้วกันนะ
1. สิ่งที่จำกัดที่สุดของมนุษย์ คือ “เวลา”
ข้อแรกนี่ตรงไปตรงมา มนุษย์ทุกคนมีเวลาจำกัด เพราะสักวันหนึ่งเราต้องตาย หรือบางทีแม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ อายุที่มากขึ้นก็อาจจะเป็นข้อจำกัดที่จะทำให้เราใช้เวลาที่เหลืออยู่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิมแล้ว
2. ทุกอย่างในชีวิตต้องใช้ “เวลา” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ กีฬา ดนตรี หรืออื่นๆ หากเราต้องการพัฒนาชีวิตด้านใดด้านหนึ่งให้ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องใช้เวลาทั้งสิ้น
ทักษะ/ความรู้/ความสัมพันธ์ที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราค่อยๆ สร้างมันทีละน้อย เพราะสมองมนุษย์ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ ที่สามารถดาวน์โหลดสิ่งต่างๆ ลงไปในเวลาไม่กี่นาที สมองมนุษย์เรียนรู้โดยการเชื่อมต่อกันของโครงข่ายเส้นประสาท ซึ่งต้องอาศัยการทำซ้ำและจำเป็นต้องอาศัยเวลาเพื่อให้มันเกิดขึ้นมาได้
ส่วนสุขภาพหรือรูปลักษณ์ที่ดีนั้น เราจะมีได้มาก็ต่อเมื่อเรากินอาหารที่ดี และออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่านั้น การไปฟิตเนสเดือนละครั้งอาจจะไม่ได้มีผลกับสุขภาพของเราขนาดนั้น
3. เงิน ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
เงิน เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้นมาเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน เพื่อให้มนุษย์สามารถนำไปแลกสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ “ให้คุณค่า” ได้ ดังนั้นสิ่งที่สนุษย์ต้องการจริงๆ มันก็คือสิ่งที่คุณให้คุณค่าเหล่านั้นแหละ ไม่ใช่เงิน
นอกจากนั้นเงินมันไม่สามารถแลกได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรก็ตามที่ต้องอาศัย “เวลา” เพื่อให้ได้มา เช่น ความสัมพันธ์ สุขภาพ หรือความสุขสงบในใจที่แต่ละคนมีความต้องการที่ต่างกัน
—-----------------------------------------
แค่สามข้อนี้รวมกันก็ให้อะไรผมเยอะมากๆ
ตลอด 26 ปีที่ผมอยู่บนโลกนี้มา ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทกับการเรียนมาตลอด ตั้งแต่ประถม มัธยม จนเข้ามาตรากตรำในคณะแพทย์อีกร่วม 6 ปี เพื่อที่จะจบมาแล้วพบว่า เราแทบไม่มีอิสระอะไรในชีวิตตัวเองเท่าไหร่เลย ในระบบที่มีอยู่มานานนี้ เราก็เป็นแค่เบี้ยตัวเล็กๆ ที่ถูกกำหนดให้ต้องจ่ายเวลาส่วนตัวทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมี “เงิน” จำนวนหนึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
จนเมื่อปีที่แล้วที่ผมได้มีเวลาว่างมากขึ้นเพียงพอที่จะหยุดพัก แล้วถามตัวเองว่า “ถ้าต้องถอดบทบาทหมอออกไป ผมจะอยากเป็นอะไรในสังคมวะ”
คำตอบที่ได้ทำให้ผมแปลกใจตัวเองเหมือนกัน
ทั้งที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองมีความชอบ ความรู้ หรือทักษะมากพอที่จะย้ายสายงานได้ไม่ยากนัก แต่คำตอบของผมก็ยังเป็น “แพทย์” อยู่เหมือนเดิม
แต่ผมไม่ได้อยากเป็นแพทย์เป็นอย่างแรกนะ
“ผมอยากเป็นมนุษย์ที่มีความรู้แพทย์” ถ้าต้องเลือกระหว่างต้องเป็นหมอ หรือเป็นมนุษย์แค่อย่างเดียว ผมจะเลือกเป็นมนุษย์ ผมอยากมีชีวิตที่มีความสุขกับชีวิตประจำวัน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว มีสุขภาพที่แข็งแรง และมีโอกาสได้พัฒนาความรู้ความสามารถในสาขาที่ผมชอบ ไม่ว่าจะเป็นในวงการแพทย์หรือนอกวงการแพทย์ก็ตาม
แต่ในเมื่อผมไม่ต้องเลือกแค่อย่างเดียว ผมก็เลยยังอยากเป็นหมอด้วย เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจสมัครเรียนต่อเฉพาะทางอายุรศาสตร์ที่บ้านริมน้ำที่รักในปีการศึกษาที่จะถึงนี้
คำตอบนี้ทำให้ผมยังต้องทำงานเป็นหมอเหมือนเดิมแหละ แต่ผมโคตรมีความสุขกับการทำงานเลย เพราะพอคิดได้แบบนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมชอบเนื้องานของแพทย์ แต่ผมแค่ไม่ชอบ ‘ระบบราชการ’ บวกกับการมีคู่คิดที่รู้ใจและมีความคิดแบบเดียวกัน เลยได้จับมือกันลาออก จ่ายเงินชดใช้ทุนราคาหกหลัก เพื่อมาทำงานเป็นแพทย์ ในกทม.ซึ่งผมยืนยันได้เลยว่าระบบมันคนละชั้นกันเลย
ผมได้มีชีวิตแบบที่อยากมี ได้ออกกำลังกาย ได้อ่านหนังสือนอกเวลา ได้ศึกษาความรู้ และพัฒนาตัวเองไปทีละน้อยในทุกวัน มันมีคุณค่ากับผมมากจริงๆ มากกว่าที่เงินจะให้ผมได้หากผมต้องแลกมันด้วยเวลาที่มีค่าของผม
—-----------------------------------------
ปี 2024 ผมตั้งใจว่าผมจะมุ่งมั่นสร้างคุณค่าในด้านต่างๆ ให้มากขึ้นอีก และจะใช้เวลาทุกนาทีให้เป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ปลายปีหน้า ผมจะสามารถพูดได้อีกครั้งว่า
“กูโคตรชอบชีวิตตัวเองตอนนี้เลยว่ะ!!!” :D
#siamstr
“กูโคตรชอบชีวิตตัวเองตอนนี้เลยว่ะ”
เป็นคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัวผมเมื่อสามวันก่อนตอนกำลังนั่งทบทวนตัวเอง หลังจากเลิกงาน Fait วันสุดท้ายของปี 2023 แล้วมันก็วนอยู่ในหัวผมมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าอยากจะแชร์ให้ทุกคนอ่านครับ 555 :D
ตอนแรกผมกะจะมาเล่าชีวิตผมในปี 2023 แต่ก็คิดได้ว่า คนอื่นอาจจะไม่ได้สนใจรายละเอียดชีวิตผมขนาดนั้น เลยจะเปลี่ยนเป็นเล่าว่าผมได้เรียนรู้อะไรที่รู้สึกว่ามีประโยชน์กับผมก็แล้วกันนะ
1. สิ่งที่จำกัดที่สุดของมนุษย์ คือ “เวลา”
ข้อแรกนี่ตรงไปตรงมา มนุษย์ทุกคนมีเวลาจำกัด เพราะสักวันหนึ่งเราต้องตาย หรือบางทีแม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ อายุที่มากขึ้นก็อาจจะเป็นข้อจำกัดที่จะทำให้เราใช้เวลาที่เหลืออยู่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิมแล้ว
2. ทุกอย่างในชีวิตต้องใช้ “เวลา” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ กีฬา ดนตรี หรืออื่นๆ หากเราต้องการพัฒนาชีวิตด้านใดด้านหนึ่งให้ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องใช้เวลาทั้งสิ้น
ทักษะ/ความรู้/ความสัมพันธ์ที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราค่อยๆ สร้างมันทีละน้อย เพราะสมองมนุษย์ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ ที่สามารถดาวน์โหลดสิ่งต่างๆ ลงไปในเวลาไม่กี่นาที สมองมนุษย์เรียนรู้โดยการเชื่อมต่อกันของโครงข่ายเส้นประสาท ซึ่งต้องอาศัยการทำซ้ำและจำเป็นต้องอาศัยเวลาเพื่อให้มันเกิดขึ้นมาได้
ส่วนสุขภาพหรือรูปลักษณ์ที่ดีนั้น เราจะมีได้มาก็ต่อเมื่อเรากินอาหารที่ดี และออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่านั้น การไปฟิตเนสเดือนละครั้งอาจจะไม่ได้มีผลกับสุขภาพของเราขนาดนั้น
3. เงิน ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
เงิน เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้นมาเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน เพื่อให้มนุษย์สามารถนำไปแลกสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ “ให้คุณค่า” ได้ ดังนั้นสิ่งที่สนุษย์ต้องการจริงๆ มันก็คือสิ่งที่คุณให้คุณค่าเหล่านั้นแหละ ไม่ใช่เงิน
นอกจากนั้นเงินมันไม่สามารถแลกได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรก็ตามที่ต้องอาศัย “เวลา” เพื่อให้ได้มา เช่น ความสัมพันธ์ สุขภาพ หรือความสุขสงบในใจที่แต่ละคนมีความต้องการที่ต่างกัน
—-----------------------------------------
แค่สามข้อนี้รวมกันก็ให้อะไรผมเยอะมากๆ
ตลอด 26 ปีที่ผมอยู่บนโลกนี้มา ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทกับการเรียนมาตลอด ตั้งแต่ประถม มัธยม จนเข้ามาตรากตรำในคณะแพทย์อีกร่วม 6 ปี เพื่อที่จะจบมาแล้วพบว่า เราแทบไม่มีอิสระอะไรในชีวิตตัวเองเท่าไหร่เลย ในระบบที่มีอยู่มานานนี้ เราก็เป็นแค่เบี้ยตัวเล็กๆ ที่ถูกกำหนดให้ต้องจ่ายเวลาส่วนตัวทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมี “เงิน” จำนวนหนึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
จนเมื่อปีที่แล้วที่ผมได้มีเวลาว่างมากขึ้นเพียงพอที่จะหยุดพัก แล้วถามตัวเองว่า “ถ้าต้องถอดบทบาทหมอออกไป ผมจะอยากเป็นอะไรในสังคมวะ”
คำตอบที่ได้ทำให้ผมแปลกใจตัวเองเหมือนกัน
ทั้งที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองมีความชอบ ความรู้ หรือทักษะมากพอที่จะย้ายสายงานได้ไม่ยากนัก แต่คำตอบของผมก็ยังเป็น “แพทย์” อยู่เหมือนเดิม
แต่ผมไม่ได้อยากเป็นแพทย์เป็นอย่างแรกนะ
“ผมอยากเป็นมนุษย์ที่มีความรู้แพทย์” ถ้าต้องเลือกระหว่างต้องเป็นหมอ หรือเป็นมนุษย์แค่อย่างเดียว ผมจะเลือกเป็นมนุษย์ ผมอยากมีชีวิตที่มีความสุขกับชีวิตประจำวัน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว มีสุขภาพที่แข็งแรง และมีโอกาสได้พัฒนาความรู้ความสามารถในสาขาที่ผมชอบ ไม่ว่าจะเป็นในวงการแพทย์หรือนอกวงการแพทย์ก็ตาม
แต่ในเมื่อผมไม่ต้องเลือกแค่อย่างเดียว ผมก็เลยยังอยากเป็นหมอด้วย เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจสมัครเรียนต่อเฉพาะทางอายุรศาสตร์ที่บ้านริมน้ำที่รักในปีการศึกษาที่จะถึงนี้
คำตอบนี้ทำให้ผมยังต้องทำงานเป็นหมอเหมือนเดิมแหละ แต่ผมโคตรมีความสุขกับการทำงานเลย เพราะพอคิดได้แบบนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมชอบเนื้องานของแพทย์ แต่ผมแค่ไม่ชอบ ‘ระบบราชการ’ บวกกับการมีคู่คิดที่รู้ใจและมีความคิดแบบเดียวกัน เลยได้จับมือกันลาออก จ่ายเงินชดใช้ทุนราคาหกหลัก เพื่อมาทำงานเป็นแพทย์ ในกทม.ซึ่งผมยืนยันได้เลยว่าระบบมันคนละชั้นกันเลย
ผมได้มีชีวิตแบบที่อยากมี ได้ออกกำลังกาย ได้อ่านหนังสือนอกเวลา ได้ศึกษาความรู้ และพัฒนาตัวเองไปทีละน้อยในทุกวัน มันมีคุณค่ากับผมมากจริงๆ มากกว่าที่เงินจะให้ผมได้หากผมต้องแลกมันด้วยเวลาที่มีค่าของผม
—-----------------------------------------
ปี 2024 ผมตั้งใจว่าผมจะมุ่งมั่นสร้างคุณค่าในด้านต่างๆ ให้มากขึ้นอีก และจะใช้เวลาทุกนาทีให้เป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ปลายปีหน้า ผมจะสามารถพูดได้อีกครั้งว่า
“กูโคตรชอบชีวิตตัวเองตอนนี้เลยว่ะ!!!” :D