What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-05 14:03:43

maiakee on Nostr: ...



เผลอเดินเหยียบมดโดยไม่มีเจตนาบาปไหม ⁉️

เจตนาเป็นกรรม: พุทธพจน์และกลไกแห่งจิตมโนวิญญาณ

๑. เจตนา คือ กรรม ตามพุทธพจน์

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรนฺติ กาเยน วาจาย มนสา”
(องฺ.ทุก. ๓/๔๑๕/๒๕๐)

แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม เมื่อบุคคลมีเจตนาแล้ว ย่อมกระทำกรรมทางกาย วาจา และใจ”

จากพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงการกระทำเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงเจตนาในการกระทำด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจ ล้วนเกิดจากเจตนาเป็นตัวนำ

๒. กลไกของจิตและมโนวิญญาณ: ตั้งแต่ลำแสงมโน จนกระทบฉากเกิดวิญญาณฐิติ

๒.๑ ลำแสงมโน: การส่งออกของจิต

จิตในขณะที่ยังไม่เกิดการรับรู้เรียกว่า “ภวังคจิต” หรือจิตพื้นฐาน เมื่อมีอารมณ์มากระทบ จิตจะเกิด “มโนวิญญาณ” ซึ่งเป็นความรับรู้ทางใจ เปรียบเสมือนแสงที่พุ่งออกไปจับอารมณ์

“สพฺเพ ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา” (สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๑๒.๑๕)

“ธรรมทั้งปวง มีวิญญาณเป็นปัจจัย”

มโนวิญญาณนี้เป็นเสมือนลำแสงของจิตที่พุ่งออกไปหาอารมณ์ เมื่อกระทบอารมณ์แล้วจะเกิดกระบวนการปรุงแต่งตามมา

๒.๒ กระทบฉากเกิดวิญญาณฐิติ

เมื่อมโนวิญญาณรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว จิตจะ “ตั้งมั่น” บนสิ่งนั้น เรียกว่า “วิญญาณฐิติ” หรือฐานที่ตั้งของวิญญาณ

“วิญฺญาณํ ภิกฺขเว สพฺพํ อภินิพฺพตฺติ” (สํ.สฬา.๑๘/๘๗/๑๓๐)

“วิญญาณเป็นเหตุให้เกิดสรรพสิ่ง”

ในขั้นนี้ จิตจะเริ่มปรุงแต่งอารมณ์นั้นขึ้นมา

๒.๓ เกิดผืนนาเป็นกรรม

เมื่อจิตตั้งอยู่บนอารมณ์นั้นต่อไป ก็จะก่อให้เกิด “ภพ” (การดำรงอยู่ของจิตในสภาวะหนึ่ง ๆ) อันเป็นการสั่งสม “กรรม” หรือการกระทำที่สืบเนื่องจากการปรุงแต่งของจิต

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“วิญญาณปจฺจยา นามรูปํ” (ปฏิจจสมุปบาท)

“เมื่อมีวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงเกิดขึ้น”

ภพที่เกิดขึ้นสามารถจำแนกได้เป็น ๓ ระดับ ได้แก่
1. กามภพ - ภพที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม (ความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส)
2. รูปภพ - ภพของผู้ที่เจริญสมาธิและมีรูปฌาน
3. อรูปภพ - ภพของผู้ที่เจริญอรูปฌาน ไม่มีรูปเหลืออยู่

กรรมที่เกิดจากเจตนาจะเป็นเครื่องกำหนดว่า จิตจะไปเกิดในภพใด

๓. สังขารปรุงแต่งเกิดเจตนา และผลสำเร็จของกรรม

๓.๑ สังขารปรุงแต่งเจตนา

“สังขารปจฺจยา วิญฺญาณํ” (ปฏิจจสมุปบาท)

“เมื่อมีสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงเกิดขึ้น”

สังขาร คือการปรุงแต่งของจิต เมื่อจิตรับรู้อารมณ์แล้ว สังขารจะเป็นตัวปรุงแต่งให้เกิดเจตนา เช่น
• เมื่อเห็นสิ่งที่ชอบ สังขารปรุงให้เกิดความอยาก
• เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ชอบ สังขารปรุงให้เกิดความเกลียด
• เมื่อเกิดปัญญา สังขารปรุงให้เกิดความเข้าใจ

๓.๒ ผลสำเร็จของกรรมตามพุทธพจน์

กรรมที่เกิดจากเจตนา สามารถส่งผลได้ ๓ ระดับ คือ
1. ให้ผลในปัจจุบัน - เช่น ทำดีได้รับผลดีทันที
2. ให้ผลในชาติหน้า - เช่น กุศลกรรมส่งผลให้เกิดในสุคติ
3. ให้ผลในอนาคตไกล - เช่น กรรมที่เป็นอเนญชกรรม (กรรมหนัก) ให้ผลในหลายภพชาติ

“กมฺมํ สตฺเต วิภชติ” (องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๗๒/๒๕๑)

“กรรมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปตามภพภูมิ”

ดังนั้น เจตนาเป็นตัวกำหนดชีวิตของบุคคล หากมีเจตนาที่ดี ก็จะนำไปสู่ภพที่ดี แต่หากมีเจตนาที่ไม่ดี ก็จะนำไปสู่ภพที่ทุกข์ทรมาน

๔. สรุป
• เจตนา คือ กรรม ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
• จิตมีการทำงานเป็นกลไก ตั้งแต่ลำแสงมโน จนกระทบฉากเกิดวิญญาณฐิติ
• กรรมที่สั่งสมเป็นเสมือนผืนนา ที่รองรับผลของการกระทำ
• กรรมกำหนดภพ ๓ ระดับ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ
• สังขารเป็นตัวปรุงเจตนา และกรรมส่งผลตามเหตุปัจจัย

พุทธพจน์สำคัญ

“เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”
“ภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม”

เมื่อเข้าใจกลไกของจิตและกรรมแล้ว เราสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ โดยการฝึกสติและปัญญาให้เกิดเจตนาที่ดี เพื่อสร้างกรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์และการหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร


วิบากคืออะไร และความสัมพันธ์กับกรรมและเจตนา

๑. ความหมายของวิบาก

วิบาก (ผลของกรรม) คือ ผลที่เกิดขึ้นจากกรรมที่ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว วิบากไม่ใช่กรรม แต่เป็นผลของกรรมที่สั่งสมมา

พุทธพจน์เกี่ยวกับวิบาก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” (ขุททกนิกาย ชาตก ๒๗/๓๗๕)

“สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม”

และ

“ยนฺเต กมฺมํ กริสฺสถ ตาทิสํ วิปกฺกมฺมํ ปฏิสนฺทหติ” (องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๓๐๕/๔๒๕)

“กรรมเช่นใด บุคคลทำไว้ วิบากของกรรมนั้นย่อมติดตามไป”

๒. ความสัมพันธ์ระหว่างกรรม เจตนา และวิบาก

๒.๑ เจตนาเป็นกรรม

ตามพุทธพจน์ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” (องฺ.ทุก. ๓/๔๑๕/๒๕๐)
แปลว่า “เจตนาเป็นกรรม”
• เจตนา (ความตั้งใจ) เป็นตัวนำให้เกิดกรรม
• กรรม คือ การกระทำที่มีเจตนา
• กรรมที่กระทำไปแล้วจะก่อให้เกิดผล (วิบาก) ตามมา

๒.๒ กรรมให้ผลเป็นวิบาก

“กมฺมํ สตฺเต วิภชติ” (องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๗๒/๒๕๑)

“กรรมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปตามภพภูมิ”

• กรรมดี (กุศลกรรม) ให้ผลเป็นสุขวิบาก เช่น ได้เกิดในภพที่ดี
• กรรมชั่ว (อกุศลกรรม) ให้ผลเป็นทุกขวิบาก เช่น ประสบเคราะห์กรรม

ตัวอย่างการทำงานของกรรมและวิบาก
1. ถ้าคนหนึ่งมีเจตนาดี (เจตนา = กุศลกรรม) เช่น ช่วยเหลือผู้อื่น
• เขากระทำดีทางกาย วาจา ใจ
• กรรมดีนี้ให้ผลเป็น สุขวิบาก (ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ได้รับความช่วยเหลือตอบแทน)
2. ถ้าคนหนึ่งมีเจตนาร้าย (เจตนา = อกุศลกรรม) เช่น โกงผู้อื่น
• เขากระทำผิดทางกาย วาจา ใจ
• กรรมชั่วนี้ให้ผลเป็น ทุกขวิบาก (ถูกโกงกลับ เจอปัญหาทางชีวิต)

๒.๓ วิบากเป็นผลที่ต้องรับ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“นตฺถิ กมฺมํ อกตํ น สุขุทฺทสํ” (ขุททกนิกาย ธัมมปทัฏฐกถา ๒๕/๔๑)

“กรรมที่ทำแล้ว ย่อมไม่หายไป กรรมให้ผลแน่นอน”

หมายความว่า วิบากของกรรมที่ทำไว้ ย่อมให้ผลแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว

๓. วิบากให้ผลเมื่อใด?

กรรมที่ทำไว้สามารถให้ผลเป็นวิบากในช่วงเวลาต่าง ๆ ดังนี้
1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม – กรรมที่ให้ผลทันทีในชาตินี้
2. อุปปัชชเวทนียกรรม – กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
3. อปราปรเวทนียกรรม – กรรมที่ให้ผลในชาติถัด ๆ ไป
4. อโหสิกรรม – กรรมที่หมดโอกาสให้ผล (เพราะปัจจัยเปลี่ยนไปแล้ว)

ตัวอย่าง:
• หากคนหนึ่งฆ่าสัตว์บ่อย ๆ อาจส่งผลเป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ทำให้สุขภาพไม่ดีในชาตินี้
• หากกรรมยังไม่ให้ผลทันที อาจกลายเป็น อุปปัชชเวทนียกรรม ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ

๔. สรุป

• เจตนาเป็นตัวนำให้เกิดกรรม
• กรรมที่ทำไปแล้วให้ผลเป็นวิบาก
• วิบากเป็นผลของกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น หากเราต้องการให้มีชีวิตที่ดี ต้องเริ่มต้นที่เจตนาที่ดี เพื่อให้เกิดกรรมดี และได้รับวิบากที่ดี

#Siamstr #nostr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #ธรรมะ
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2