Hipknox on Nostr: เรื่องที่ต้องอาศัย Trust ...
เรื่องที่ต้องอาศัย Trust เพราะว่ามีคนที่ชำนาญกว่า มีเครื่องมือเพรียบพร้อมกว่า และมีศักยภาพที่สูงกว่าในการทำ Verify ให้, มันก็ยังจะมีคนที่ต้องการจะ Verify มันด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อ Trust จากผู้ที่ขาย เพราะความไม่ต้องการในการจะมีภาระค่าใช้จ่ายในสิ่งที่ตัวเองไม่ชำนาญ จากค่าอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีไว้เพื่อการ Verify เท่านั้น จากความต้องการลดระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับการต้องเรียนรู้เพื่อที่จะ Verify อะไรบางอย่างที่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง
แต่กับเรื่องที่มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ ที่จำเป็นจะต้องอาศัยการ Verify ก่อนที่จะ Trust เช่น การเงิน สุขภาพ ความเชื่อ/ศาสนา ฯลฯ ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง กลับเลือกที่จะ Trust โดยที่ไม่ต้องการจะไป Verify อะไรกับมันอีก “ผมเชื่อรัฐนะ, โอเคครับหมอ, ดีเลยครับหลวงพ่อ”
โคตรตลก ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คุณลองนึกภาพตามดู คุณซื้อเครื่องมือตรวจสอบมาตรฐานค่าสีของจอภาพ และมีการส่งไปให้หน่วยงานมาตรฐานทำการทดสอบอุปกรณ์ตัวนั้นจนได้รับการรับรอง และนำมันไปใช้ในการทดสอบค่าสีของจอภาพให้ลูกค่า เพื่อตรวจสอบความแม่นยำค่าสีของจอภาพ เพื่อที่จะทำการปรับตั้งค่ามันให้มีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด
แต่โลกของเรามันตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน (Uncertainty) มันไม่มีอะไรที่จะดีเลศ 100% เป๊ะ ๆ จอภาพที่ปรับตั้งค่าตามมาตรฐาน (สมมติว่าการยอมรับอยู่ที่ 95%) แล้วค่าสีของจอภาพที่คุณปรับมันได้ 97% มันก็จะมีคนถามคุณว่าปรับแล้วทำไมมันไม่ได้ 100% ถ้าคุณบอกว่าตามมาตรฐานเกณฑ์การยอมรับมันอยู่ที่ 95% สำหรับจอภาพตัวนี้ที่ค่าสีแม่นยำถึง 97% ซึ่งสูงกว่าค่าเกณฑ์ที่ยอมรับนั้นสามารถใช้งานได้ เพียงพอ และไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอนเมื่อนำงานที่ทำผ่านจอภาพนี้ไปใช้ในการสั่งพิมพ์
เขาก็จะถามคุณต่อว่า แล้ว 95% มันคำนวณมาจากไหนทำไมถึงต้องเป็น 95% คุณมี reference ไหนบ้างที่ผมจะสามารถดูได้ว่าจริงอย่างที่คุณบอก? และถึงต่อให้คุณหา reference ตามระบบมาตรฐานจนเจอและเอาให้เขาดู เขาก็จะถามคุณต่อว่า แล้วเครื่องมือที่คุณเอามาใช้ทดสอบจอภาพของเขา ส่งไปตรวจสอบกับหน่วยงานไหน? ใครรับรอง? เชื่อถือได้มั้ย?
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ Verify อะไรด้วยตัวเองอยู่ดี สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่การคาดคั้นหาความจริงเอาจากคนอื่น เพราะว่าเขาไม่ใช่ผู้ผลิตที่สร้างเครื่องมืออย่างอุปกรณ์ทดสอบความแม่นยำค่าสีของจอภาพ หรือแม้แต่สร้างจอภาพขึ้นมาด้วยตัวเอง สิ่งที่เขาทำได้คือ Verify เพื่อแสวงหาสิ่งที่เข้าคิดว่าจะสามารถ Trust ได้มากว่า Trust อื่น ๆ ก่อนหน้านั้น ไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ประโยชน์ มันเหมือนกับคนที่มานั่งตั้งคำถามว่าทำไมเวลาที่เราอยู่บนโลกเราใช้หน่วยวัดความยาวที่เรียกว่าเมตรแล้วมันเวิร์ค แต่ในเวลาที่เราอยู่นอกอวกาศมันถึงได้ไม่เวิร์คต้องไปใช้หน่วยของปีแสงแทน ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตประจำวันของเขาเกี่ยวข้องกับหน่วยวัดความยาวเพียงแค่การขับรถไปกลับระหว่างที่ทำงานกับที่บ้านเท่านั้น
เงินเสื่อมค่า เห็นอยู่ตำตาบอกปกติ รัฐ Verify ให้แล้วว่า 3% ต่อปีคือดีแล้วต่อส่วนร่วม เราต้อง Trust มันแล้วอย่าไปส่งสัยอะไรอีก แล้วก็มานั่งร้องห่มร้องไห้ เก็บเงินไม่ได้เลย ข้าวของแพงจัง อยากได้รัฐสวัสดิการ บลา ๆ
เอาจริง ๆ ที่ผมบ่นคนพวกนี้เนี่ย จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้อยากจะ Verify อะไรจริง ๆ หรอก มันเสียเวลาแล้วก็น่ารำคาญ แต่ที่ต้องทำก็เพราะว่าถูกสั่งมาอีกทีว่าต้องทำ เลยจำเป็นจะต้องทำ เขาแค่ต้องการหาคำตอบเพื่อที่จะเอาไปตอบคำถามของคนที่สั่งเขามาอีกที เพราะว่าถ้าเขาเป็นมนุษย์ประเภทที่มี mindset ที่สนใจและสงสัยอะไร ๆ จนต้องค่อย Verify มันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เขาจะไม่ถามอะไรเอาจากคนอื่นง่าย ๆ หรอกครับ เขาจะหาด้วยตัวเขาเองจนกระทั้งมันสุดแล้วจริง ๆ เขาถึงจะไปขอให้คนอื่นช่วย
คนพวกนี้มีอยู่เยอะมาก ๆ เพราะงั้นอย่าแปลกใจที่ทำไมยาส้มมันถึงไม่ค่อยจะได้ผล เขาไม่ต้องการจะ Verify อะไรถ้าเขาไม่ถูกสั่งมาให้ทำ และถึงต่อให้ถูกสั่งมาให้ทำ เขาก็จะทำเพียงแค่ไปหาสิ่งที่ Trust ได้มากว่า Trust ที่มีอยู่เดิมไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาไปเป็น Ref. สำหรับตอบคำถามของคนที่สั่งเขามา
คงต้องรอให้ bitcoin มันได้กลายเป็นจุดสูงสุดของ Trust ไปแล้วล่ะนะ ทุก ๆ อย่างมันคงจะง่ายขึ้นที่จะสร้าง user network effect แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น bitcoin ก็ไม่ได้ช่วยแก้นิสัยเสียของมนุษย์พวกนี้ สุดท้ายแล้วมันก็ยังจะต้องมีเรื่องให้ปวดหัวเวลาที่จำเป็นจะต้องทำงานกับมนุษย์จำพวกนี้อยู่ดี
แต่กับเรื่องที่มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ ที่จำเป็นจะต้องอาศัยการ Verify ก่อนที่จะ Trust เช่น การเงิน สุขภาพ ความเชื่อ/ศาสนา ฯลฯ ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง กลับเลือกที่จะ Trust โดยที่ไม่ต้องการจะไป Verify อะไรกับมันอีก “ผมเชื่อรัฐนะ, โอเคครับหมอ, ดีเลยครับหลวงพ่อ”
โคตรตลก ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คุณลองนึกภาพตามดู คุณซื้อเครื่องมือตรวจสอบมาตรฐานค่าสีของจอภาพ และมีการส่งไปให้หน่วยงานมาตรฐานทำการทดสอบอุปกรณ์ตัวนั้นจนได้รับการรับรอง และนำมันไปใช้ในการทดสอบค่าสีของจอภาพให้ลูกค่า เพื่อตรวจสอบความแม่นยำค่าสีของจอภาพ เพื่อที่จะทำการปรับตั้งค่ามันให้มีความถูกต้องแม่นยำมากที่สุด
แต่โลกของเรามันตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน (Uncertainty) มันไม่มีอะไรที่จะดีเลศ 100% เป๊ะ ๆ จอภาพที่ปรับตั้งค่าตามมาตรฐาน (สมมติว่าการยอมรับอยู่ที่ 95%) แล้วค่าสีของจอภาพที่คุณปรับมันได้ 97% มันก็จะมีคนถามคุณว่าปรับแล้วทำไมมันไม่ได้ 100% ถ้าคุณบอกว่าตามมาตรฐานเกณฑ์การยอมรับมันอยู่ที่ 95% สำหรับจอภาพตัวนี้ที่ค่าสีแม่นยำถึง 97% ซึ่งสูงกว่าค่าเกณฑ์ที่ยอมรับนั้นสามารถใช้งานได้ เพียงพอ และไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอนเมื่อนำงานที่ทำผ่านจอภาพนี้ไปใช้ในการสั่งพิมพ์
เขาก็จะถามคุณต่อว่า แล้ว 95% มันคำนวณมาจากไหนทำไมถึงต้องเป็น 95% คุณมี reference ไหนบ้างที่ผมจะสามารถดูได้ว่าจริงอย่างที่คุณบอก? และถึงต่อให้คุณหา reference ตามระบบมาตรฐานจนเจอและเอาให้เขาดู เขาก็จะถามคุณต่อว่า แล้วเครื่องมือที่คุณเอามาใช้ทดสอบจอภาพของเขา ส่งไปตรวจสอบกับหน่วยงานไหน? ใครรับรอง? เชื่อถือได้มั้ย?
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ Verify อะไรด้วยตัวเองอยู่ดี สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่การคาดคั้นหาความจริงเอาจากคนอื่น เพราะว่าเขาไม่ใช่ผู้ผลิตที่สร้างเครื่องมืออย่างอุปกรณ์ทดสอบความแม่นยำค่าสีของจอภาพ หรือแม้แต่สร้างจอภาพขึ้นมาด้วยตัวเอง สิ่งที่เขาทำได้คือ Verify เพื่อแสวงหาสิ่งที่เข้าคิดว่าจะสามารถ Trust ได้มากว่า Trust อื่น ๆ ก่อนหน้านั้น ไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ประโยชน์ มันเหมือนกับคนที่มานั่งตั้งคำถามว่าทำไมเวลาที่เราอยู่บนโลกเราใช้หน่วยวัดความยาวที่เรียกว่าเมตรแล้วมันเวิร์ค แต่ในเวลาที่เราอยู่นอกอวกาศมันถึงได้ไม่เวิร์คต้องไปใช้หน่วยของปีแสงแทน ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตประจำวันของเขาเกี่ยวข้องกับหน่วยวัดความยาวเพียงแค่การขับรถไปกลับระหว่างที่ทำงานกับที่บ้านเท่านั้น
เงินเสื่อมค่า เห็นอยู่ตำตาบอกปกติ รัฐ Verify ให้แล้วว่า 3% ต่อปีคือดีแล้วต่อส่วนร่วม เราต้อง Trust มันแล้วอย่าไปส่งสัยอะไรอีก แล้วก็มานั่งร้องห่มร้องไห้ เก็บเงินไม่ได้เลย ข้าวของแพงจัง อยากได้รัฐสวัสดิการ บลา ๆ
เอาจริง ๆ ที่ผมบ่นคนพวกนี้เนี่ย จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้อยากจะ Verify อะไรจริง ๆ หรอก มันเสียเวลาแล้วก็น่ารำคาญ แต่ที่ต้องทำก็เพราะว่าถูกสั่งมาอีกทีว่าต้องทำ เลยจำเป็นจะต้องทำ เขาแค่ต้องการหาคำตอบเพื่อที่จะเอาไปตอบคำถามของคนที่สั่งเขามาอีกที เพราะว่าถ้าเขาเป็นมนุษย์ประเภทที่มี mindset ที่สนใจและสงสัยอะไร ๆ จนต้องค่อย Verify มันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เขาจะไม่ถามอะไรเอาจากคนอื่นง่าย ๆ หรอกครับ เขาจะหาด้วยตัวเขาเองจนกระทั้งมันสุดแล้วจริง ๆ เขาถึงจะไปขอให้คนอื่นช่วย
คนพวกนี้มีอยู่เยอะมาก ๆ เพราะงั้นอย่าแปลกใจที่ทำไมยาส้มมันถึงไม่ค่อยจะได้ผล เขาไม่ต้องการจะ Verify อะไรถ้าเขาไม่ถูกสั่งมาให้ทำ และถึงต่อให้ถูกสั่งมาให้ทำ เขาก็จะทำเพียงแค่ไปหาสิ่งที่ Trust ได้มากว่า Trust ที่มีอยู่เดิมไปเรื่อย ๆ เพื่อเอาไปเป็น Ref. สำหรับตอบคำถามของคนที่สั่งเขามา
คงต้องรอให้ bitcoin มันได้กลายเป็นจุดสูงสุดของ Trust ไปแล้วล่ะนะ ทุก ๆ อย่างมันคงจะง่ายขึ้นที่จะสร้าง user network effect แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น bitcoin ก็ไม่ได้ช่วยแก้นิสัยเสียของมนุษย์พวกนี้ สุดท้ายแล้วมันก็ยังจะต้องมีเรื่องให้ปวดหัวเวลาที่จำเป็นจะต้องทำงานกับมนุษย์จำพวกนี้อยู่ดี