What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-01-29 04:43:31

maiakee on Nostr: ...



สภาวะสุญญตา (Sunyata) และระเบียบซ้อนเร้น (Implicate Order) ของ Bohm: ความว่างที่ซ่อนพลังแห่งจักรวาล

เกริ่นนำ

แนวคิดเรื่อง “ลำดับซ่อนเร้น” (Implicate Order) ของเดวิด โบห์ม นำเสนอภาพของจักรวาลที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างลึกซึ้ง โดยที่สิ่งที่เรารับรู้เป็นเพียงการเปิดเผยของโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น ในขณะที่ฟิสิกส์ควอนตัมและสัมพัทธภาพอธิบายถึงธรรมชาติของสสารและเวลาในระดับมหภาคและจุลภาค แนวคิดของโบห์มดูเหมือนจะสอดคล้องกับปรัชญาทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของ “สุญญตา” (ความว่าง) และกาละ (เวลา)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เมื่อใดบุคคลเห็นธรรม ย่อมเห็นเราตถาคต” (สังยุตตนิกาย) หมายความว่าการเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างถ่องแท้ คือการเข้าใจสัจธรรมของจักรวาล ซึ่งเป็นสิ่งที่โบห์มพยายามสำรวจผ่านวิทยาศาสตร์

A. เวลา (Time) กับพุทธปรัชญา

1. ปัญหาเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเวลา

โบห์มตั้งข้อสังเกตว่าแนวคิดเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีปัญหาในเชิงตรรกะ เพราะ:
• อดีตหายไปแล้ว
• อนาคตยังมาไม่ถึง
• ปัจจุบันเป็นเพียงเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ไม่มีอยู่ (อดีต) กับสิ่งที่ไม่มีอยู่ (อนาคต)

→ ดังนั้น ปัจจุบันก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่ามีอยู่จริง

พุทธปรัชญาเกี่ยวกับเวลา

พระพุทธเจ้าได้สอนถึงความเป็นอนิจจังของเวลา เช่น ใน กาลามสูตร ทรงตรัสว่า “อดีตอย่าไปยึดติด อนาคตอย่าพะวง ปัจจุบันจงเพียรพยายาม” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของโบห์มที่ว่า อดีตไม่หายไป แต่พับซ้อนอยู่ในปัจจุบัน

พุทธศาสนาเห็นว่าเวลาเป็นเพียงสิ่งสมมติ (paññatti) ที่มนุษย์ใช้เพื่ออธิบายความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ในความเป็นจริง ทุกสิ่งเป็นกระบวนการที่ไหลเวียนอยู่ตลอด ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบที่แน่นอน

2. แนวคิดของโบห์มเกี่ยวกับเวลา
• อนาคตไม่มีอยู่จริง มีเพียง อดีตที่พับซ้อนอยู่ในปัจจุบัน
• อดีตไม่ได้สูญหายไปทั้งหมด เช่นเดียวกับที่ความทรงจำหรือร่องรอยของเหตุการณ์ยังคงอยู่
• อนาคตไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว (non-deterministic) แต่เป็นเพียงความเป็นไปได้

พุทธปรัชญาเรื่อง “กาละ” (Time as Process)

ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย” (ปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งหมายความว่าอนาคตไม่ได้ถูกกำหนดล่วงหน้า แต่ขึ้นอยู่กับกรรม (การกระทำ) ในปัจจุบัน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “อุทกสูตร” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กระแสน้ำที่ไหลไม่ได้มีอดีตหรืออนาคตที่แน่นอน แต่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามเหตุปัจจัย

→ แนวคิดนี้คล้ายกับที่โบห์มเสนอว่า เวลาคือกระบวนการของการพับซ้อนและเปิดเผยของเหตุการณ์

3. เวลาและความคิด

โบห์มเสนอว่า “สสารก็มีแนวโน้มแบบเดียวกับความคิด” กล่าวคือ ทั้งความคิดและวัตถุมีแนวโน้มที่จะพัฒนาตามรูปแบบเดิม แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากมีสิ่งเร้าหรือข้อมูลใหม่

พุทธปรัชญา: จิตและอนิจจัง

ในพุทธศาสนา ความคิดไม่ได้คงที่แต่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังที่ตรัสไว้ใน “อัญญตรสูตร” ว่า “จิตนี้แล ไหลเลื่อนไปเร็ว เปลี่ยนแปลงง่าย”

→ นี่คล้ายกับแนวคิดของโบห์มที่ว่า กระแสจิต (stream of consciousness) มีการพับซ้อนของอดีต และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ผ่านปัจจัยใหม่

B. สุญตา (Vacuum) กับพุทธปรัชญา

1. แนวคิดเกี่ยวกับสุญตาในฟิสิกส์ควอนตัม
• ในกลศาสตร์ควอนตัม ไม่มีพื้นที่ที่ว่างเปล่าอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่ใน สุญญากาศ ก็ยังมีพลังงานอยู่
• พลังงานสุญญากาศมีค่ามหาศาล และอาจเป็นรากฐานของสสาร

พุทธปรัชญา: สุญญตา (Shunyata)

พระพุทธเจ้าตรัสใน “มหาสุญตสูตร” ว่า “ทุกสิ่งเป็นเพียงอนัตตา และว่างจากตัวตนที่แท้จริง”

→ นี่คล้ายกับที่โบห์มกล่าวว่า “สสารอาจเป็นเพียงคลื่นที่เสถียรในสุญญากาศ” หมายความว่า สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นวัตถุ อาจเป็นเพียงภาพลวงที่เกิดจากพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานของจักรวาล

2. ปัญหาเชิงทฤษฎีของพลังงานสุญญากาศ
• หากไม่มีขีดจำกัดของพลังงาน → อาจเกิดค่าพลังงานเป็นอนันต์ ซึ่งเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์

พุทธปรัชญา: นิพพาน (Nibbana) และความไร้ขีดจำกัด

นิพพานถูกอธิบายว่าเป็น “ความว่างที่สมบูรณ์” ซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยคณิตศาสตร์หรือกรอบแนวคิดทั่วไป

ใน “อุทเทสสูตร” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นิพพานไม่มีขีดจำกัด ไม่อาจวัดได้” ซึ่งคล้ายกับที่โบห์มกล่าวว่า “เมื่อไปถึงระดับที่เล็กกว่า 10⁻³³ ซม. หรือสั้นกว่า 10⁻⁴³ วินาที แนวคิดของความยาวและเวลาไม่มีความหมาย”

→ นี่แสดงให้เห็นว่า พื้นฐานของฟิสิกส์อาจมาบรรจบกับปรัชญาแห่งนิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่เกินพ้นการวัดทางกายภาพ

สรุป
1. เวลา: โบห์มและพุทธศาสนาเห็นพ้องกันว่า อดีตพับซ้อนอยู่ในปัจจุบัน และอนาคตยังคงเปิดกว้าง
2. สุญญากาศ: ฟิสิกส์สมัยใหม่ค้นพบว่า ความว่างเปล่าไม่ว่างเปล่าจริง ๆ ซึ่งตรงกับแนวคิดเรื่อง สุญญตา ในพระพุทธศาสนา
3. สสารและจิต: ทั้งโบห์มและพุทธศาสนาเห็นว่า ทุกสิ่งเป็นพลวัตและสามารถเปลี่ยนแปลงได้

→ แนวคิดของโบห์มอาจช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริงในมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเมื่อ 2,500 ปีก่อน

**เพิ่มเติม:

ทำไมสุญญตาถึงมีพลังงานมหาศาล

ในฟิสิกส์ควอนตัม, สุญญากาศหรือ “vacuum” ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่าเหมือนที่เราเข้าใจทั่วไป แต่เป็นสถานะที่มี พลังงานศูนย์จุด (zero-point energy) ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่สามารถหายไปได้แม้ในสภาวะที่ดูเหมือนว่างเปล่า ตัวอย่างเช่น ในการทดลองที่ใช้ การสังเกตการเคลื่อนไหวของอนุภาค ในสุญญากาศ พบว่าอนุภาคมีการสั่นอยู่เสมอ แม้จะไม่มีสสารหรือพลังงานภายนอกไปกระทบ

การที่สุญญากาศมีพลังงานมหาศาลนี้อธิบายได้จากทฤษฎีว่า สุญญากาศเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังงาน ที่ซ่อนอยู่ ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง พลังงานนี้สามารถกลายเป็นสสารหรืออนุภาคใหม่ได้ ตัวอย่างง่ายๆ คือ “การสร้างคู่อนุภาค-อนุภาคเสมือน” (virtual particle-antiparticle pairs) ซึ่งเกิดขึ้นและหายไปในระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่สามารถตรวจจับได้ แต่พลังงานที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้สามารถส่งผลกระทบได้

สุญญตาในพุทธปรัชญาและฟิสิกส์ควอนตัม

ในพุทธศาสนา, “สุญญตา” (ความว่าง) หมายถึง การไม่มีตัวตนที่ถาวร หรือ อนัตตา ซึ่งแสดงถึงการที่ทุกสิ่งในจักรวาลเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวตนที่แท้จริงหรือยั่งยืน ทุกสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คำสอนนี้สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ทุกสิ่งเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกัน

ตัวอย่างการเชื่อมโยงระหว่างสุญญตากับฟิสิกส์ควอนตัม

การสร้างสสารจากสุญญากาศ

ในฟิสิกส์ควอนตัม, สุญญากาศไม่ได้เป็นสภาวะที่ว่างเปล่า แต่เป็นสภาวะที่เต็มไปด้วย พลังงานที่ซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถกลายเป็นสสารได้เมื่อมีการกระตุ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การสร้างคู่อนุภาค-อนุภาคเสมือน (virtual particle pairs) ที่เกิดจากพลังงานสุญญากาศ เมื่ออนุภาคเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นแล้วก็จะสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการนี้แสดงให้เห็นว่าความว่างที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนั้นจริงๆ แล้วเต็มไปด้วยพลังงานที่สามารถสร้างสิ่งใหม่ได้

เปรียบเทียบกับคำสอนในพุทธศาสนา

ในพุทธศาสนา, พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “ทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย” (ปฏิจจสมุปบาท) ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงกันของเหตุและปัจจัย ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เช่นเดียวกับแนวคิดในฟิสิกส์ควอนตัมที่บ่งชี้ว่า สุญญากาศ ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นสภาวะที่เต็มไปด้วย ศักยภาพ และ พลังงาน ที่สามารถกลายเป็นสสารหรือสภาวะใหม่ได้เมื่อมีเหตุการณ์ที่กระทบถึง

คำพุทธพจน์ที่สะท้อนแนวคิดนี้

คำสอนในพระไตรปิฎก เช่น “สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุและปัจจัย” (ปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีควอนตัม ที่เชื่อว่า พลังงานสุญญากาศ คือ รากฐาน ที่ทำให้เกิดการสร้างสรรพสิ่งในจักรวาล ในขณะที่ “ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง” (อนิจจัง) ก็สามารถอธิบายได้โดยทฤษฎีควอนตัมที่บอกว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่คงที่หรือคงอยู่ได้ถาวร ทุกสิ่งล้วนมีการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ตัวอย่างเชิงปรัชญา

ในแง่ของการสอนในพุทธศาสนา, พระพุทธเจ้าทรงสอนถึงการพัฒนาจิตใจให้เห็นถึง “ความว่าง” ที่ไม่ใช่การหลีกหนีจากความจริง แต่เป็นการ เข้าใจ ว่าสรรพสิ่งไม่มีตัวตนที่แท้จริงและไม่ได้คงที่ การเข้าใจสภาวะนี้จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์และเห็นความจริงของโลกตามที่มันเป็น นี่เป็นปรัชญาที่สะท้อนกับแนวคิดควอนตัมที่ “สสารและเวลา” ไม่ได้เป็นสิ่งที่มั่นคง แต่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากพลังงานพื้นฐาน

สรุป

ในทางฟิสิกส์ควอนตัม สุญญากาศ เป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่สามารถหายไปได้ และสามารถสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาใหม่ได้ ในขณะที่ในพุทธศาสนา สุญญตา เป็นสภาวะที่แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งไม่มีตัวตนที่แท้จริง และทุกสิ่งเกิดจากเหตุและปัจจัย เมื่อเราทำความเข้าใจทั้งในแง่ของฟิสิกส์และปรัชญา เราจะเห็นว่าทั้งสองทฤษฎีนี้มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของความ ไม่แน่นอน และ การเปลี่ยนแปลง ที่เป็นธรรมชาติของทุกสิ่งในจักรวาล

#Siamstr #science #quantum #nostr #ธรรมะ #พุทธศาสนา #rightshift
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2