What is Nostr?
Hipknox / Hipknox_
npub1p0g…v9kv
2025-04-08 15:41:24

Hipknox on Nostr: ## นิทานก่อนนอน ...

## นิทานก่อนนอน
ยามบ่ายที่เกือบจะปกติดีเหมือนทุก ๆ วัน?
#Siamstr

มันเป็นเวลาช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2568 หลังจากการเดินเลือกซื้ออาหารของมื้อเที่ยงภายใต้อากาศและแสงแดดร้อนแรง หอบเอาพวกมันขึ้นมากินเป็นมื้อเที่ยงบนออฟฟิศของบริษัทที่ตั้งอยู่บนอาคารชั้น 33 จากความสูง 35 ชั้น มันไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ ทุก ๆ อย่างดูปกติจนกระทั่งมันได้เกิดเหตุการณ์ ๆ นั้นขึ้น

จำได้ว่าเป็นเวลาช่วงบ่ายโมงนิด ๆ ผมเข้าไปนั่งทำงานต่อในห้องทำงานส่วนตัว แฟนของผมที่เดินตามเข้ามาเพื่อคุยเรื่องงานและอื่น ๆ ผมจึงต้องละออกจากงานที่กำลังจะลงมือทำในยามบ่ายมานั่งฟังเรื่องราวของงานที่แฟนของผมกำลังจะแจ้งให้ทราบ อิริยาบทในตอนนั้นจำได้ว่า ผมเอนหลังพิงกับพนักพิงของเกาอี้ เอนตัวลงจนเกือบ ๆ จะ 45 องศาในท่าสบาย ๆ ก่อนที่จะเริ่มฟังเรื่องที่แฟนของผมต้องการที่จะบอก

พวกคุณพอจะนึกภาพออกไหม? ระยะทางที่พื้นของห้องทำงานบนอาคารสูง 33 ชั้น มันกำลังเคลื่อนที่เลื่อนอยู่ในระนาบแนวนอนจากจุดที่คุณกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ พาตัวคุณไหลส่ายไปมาในระยะทางเป็นเมตร ๆ โดยที่คุณก็ยังคงนั่งอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม

ในความรู้สึกแรก ผมคิดไปว่ามันเป็นเพราะว่าแฟนของผมเขากำลังโยกเกาอี้ที่ผมกำลังนั่งอยู่หรือเปล่า ความรู้สึกเวียนหัวเบา ๆ ที่ทำให้จินตนาการนำพาเอาประสบการณ์ก่อนหน้านั้นทั้งการที่มีลมแรง ๆ กำลังพัดเข้าปะทะกับตัวอาคารจนเกิดการสั่นสะเทือนอ่อน ๆ ไปจนถึงแผ่นดินไหวเบา ๆ ที่ทำเอาโคมไฟบนเพดานโยกคลอนไปมาไม่มากไปกว่านั้น แต่ในครั้งนี้กลับต่างออกไป

สำหรับสถานการณ์แบบนั้น การที่มีคนมากกว่าหนึ่งก็ดีกว่าการนั่งอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ได้เสียงเรียกเตือนสติจากแฟนของผม หรือผมกำลังนั่งจดจ่อปั่นงานอยู่คนเดียวจะเกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้นได้บ้าง ผมคงไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างแล้วพยายามที่จะนั่งทำงานต่อไป

"เธอ.. แผ่นดินไหวปะ?"

เสียงเรียกสติจากแฟนของผมก่อนที่จินตนาการจะเตลิดไปไกล ทำให้ผมรีบลุกออกจากเก้าอี้เพื่อที่จะเดินออกไปดูสถานการณ์ภายนอกห้องทำงาน และถามถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพนักงานคนอื่น ๆ ที่กำลังทำงานอยู่ข้างนอกนั่นเหมือนกับครั้งก่อน ๆ

"แผ่นดินไหวจริงแหละ" ผมพูดออกมาหลังจากที่ตาเหลือบมองไปยังตำแหน่งที่ตั้งของเครื่องชั่งน้ำหนัก แสดงถึงตัวเลขที่กำลังวิ่งไปมาอย่างผิดปกติ ผมบอกกับแฟนว่าเราต้องออกไปข้างนอกกันแล้ว นี่ไม่ปกติแบบที่มันเคยเป็น อาการขาตายจากความแรงระลอกแรกที่ทำให้ก้าวเท้าไม่ออกจากการที่ตัวตึกส่วนโซนสูงโยกคลอนตามแรงของแผ่นดินไหว แฟนของผมถึงกับต้องล็อคแขนของผมไว้แน่นเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม ทุก ๆ อย่างมันเกิดขึ้นไวมาก ๆ จนทำให้คุณถอดสติของคุณทิ้งไปอีกครั้ง เหลือไว้เพียงแค่สัญชาตญาณในการหนีเพื่อเอาตัวรอด

"อ๊าย..." เสียงกรี้ดจากแฟนของผมดังขึ้นหลังจากสถานการณ์ที่ตึกกำลังโยกคลอนเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่วินาที จากเสียงของผนังอาคารภายใต้แผ่นฝ้าบนเพดานที่ทำจากไม้มีเสียงดังลั่น "ครื้น...... เปรี้ยะ ๆ" ราวกับว่าพวกมันจะถล่มลงมาใส่หัวของผมกับแฟนที่กำลังขาตายกันอยู่ในห้องทำงานของผมตรงนั้น ผมต้องกลั้นใจฮึดเอาแรงพยุงพาแฟนของผมออกวิ่งออกมาจากห้องทำงาน ผ่านประตูที่ถูกล็อคด้วยระบบคีย์การ์ด โดยที่ไม่ได้หยิบเอาอะไรติดตัวออกมากันเลย นอกจากมือถือที่ถูกถือเอาไว้อยู่ในมือตั้งแต่แรก

ทันทีที่เลี้ยวซ้ายผ่านบานประตูออกมา ภาพที่เห็นคือความชุนละมุนวุ่นวาย ณ ตรงสุดโถงทางเดินติดกับห้องประชุมใหญ่ในวันนั้นมีลูกค้าจากต่างบริษัทมาสัมมนากันหลายสิบคน พนักงานคนอื่น ๆ ที่ไวกว่าเพื่อน พากลุ่มลูกค้าบางส่วนวิ่งหนีลงจากอาคารผ่านทางช่องบันไดหนีไฟ ในขณะที่บางส่วนก็เลือกที่จะหลบอยู่ใต้โต๊ะทำงานเพราะกลัวของจะตกใส่หัว สัญชาตญาณบอกผมที่จับมือของแฟนเอาไว้ ให้วิ่งตามไปยังทางลงบันไดหนีไฟเพื่อตามคนอื่น ๆ ที่วิ่งนำไปแล้ว พาตัวเองและแฟนออกจากตัวอาคารให้ได้เร็วที่สุด ร่างกายที่ออกวิ่งทำไปตามสัญชาตญาณ กับสมองที่ส่งข้อมูลเข้ามาบอกว่า "ตอนนี้คุณกำลังอยู่บนอาคารสูง 33 ชั้นนะ" ภาพเก่า ๆ ที่เคยเดินลงจากอาคาร 33 ชั้นจากอดีตเมื่อหลายปีก่อนย้อนเข้ามา เวลาที่ใช้เมื่อเดินลงอย่างธรรมดา ๆ ก็กินเวลาไปได้ราว ๆ เกือบ 20-30 นาทีแล้ว ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ยังไงพวกเราก็จะต้องลงไปอยู่ดี เพราะความคิดในตอนนั้นอย่างดีที่สุดคือมันจะหยุดและสงบลงเร็ว ๆ นี้ หรืออย่างเลวร้ายคืออาคารถล่มลงมา ใช่แล้ว..อย่างเลวร้าย

ผมจับมือแฟน เราใช้วิธีเดินเร็ว ๆ เพราะไม่สามารถที่จะวิ่งลงไปได้ คนข้างหน้าของเราก็ทำได้แค่เดินเร็วเท่านั้นบนพื้นที่ ๆ ไม่ได้กว้างมากนัก พนักงานของบริษัทอื่น ๆ ก็ทยอยกันใช้บันไดหนีไฟในการอพยพลงจากอาคารเช่นกัน ในเวลานั้นไม่มีใครนึกถึงใคร ใครนำหน้าอยู่ ใครจะตามหลังมา หรือใครจะยังไม่ลงมาจากออฟฟิศที่ทำงาน ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องคิด เราต่างคิดแค่ว่าจะต้องเอาตัวรอดไปให้ได้โดยออกไปจากอาคาร ๆ นี้

เสียงพูดคุยเบา ๆ จากข้างหน้าว่า "รีบเดินเร็ว ๆ รีบไปเร็ว ๆ" กับข้างหลังที่ตระโกนตามมาเป็นระยะ ๆ ว่า "ข้างหน้าเร็ว ๆ หน่อยค่ะ ข้างหลังจะลงไม่ทัน" อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งเมื่อเราที่เดินตามหลังคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าทำไมข้างหน้าถึงเดินกันได้ช้านัก พวกเขาไม่รักชีวิตกันเหรอ? จนกระทั้งเราผ่านลงไปถึงชั้นถัดไปที่มีคนกำลังนั่งพักเพราะกำลังจะเป็นลม พร้อมกับมิตรภาพดี ๆ ของเพื่อนร่วมงานที่ยอมเลือกที่จะไม่เดินลงไปก่อนแล้วทิ้งเขาคนนั้นเอาไว้ตรงนั้น ตัวผมเองทำอะไรไม่ได้มากนักกับสถานการณ์ตรงหน้า นอกจากจะรีบเดินลงไปไม่ขวางทางคนที่กำลังเดินตามมาข้างหลัง คุณจะต้องลองจินตนาการถึงภาพของช่องบันไดหนีไฟแคบ ๆ ที่คนจะสามารถยืนตัวชิดกันบนบันไดได้เต็มที่พร้อม ๆ กันไม่เกิน 3 คน และยังไม่ต้องคิดถึงหนทางอีกยาวไกล ราวกับว่ามันเป็นบันไดวนไม่รู้จบ ที่เราจะเดินลงไปเท่าไหร่มันก็ไม่เจอจุดหมายสักที

และใช่ ในตอนนี้เราเพิ่งจะลงมากันถึงชั้นที่ 26 อาคารยังคงสั่นไหวอยู่เป็นระยะ ผมคิดในใจว่าครั้งนี้มันช่างรุนแรงและยาวนานเสียจริง จนกระทั้งความแรงจนเกือบจะเท่ากับลูกแรกที่ทำเอาเพดานของอาคารมีเสียงดังลั่นกลับมาอีกระลอก แต่ในครั้งนี้มันเกิดขึ้นในจุดที่ผมกำลังอยู่ในช่องทางเดินแคบ ๆ ของทางเดินวนบนบันไดหนีไฟ แฟนผมกรี้ดออกมาอีกครั้งเพราะว่าถ้าเธอไม่ได้ทำแบบนั้น ก็คงจะสำรอกเอาอาหารมื้อเที่ยงออกมากองอยู่ตรงนั้น และการเดินของเราคงจะต้องหยุดลง ผมได้แต่พูดออกไปว่าให้พยายามคุมการหายใจให้ดี ๆ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วจะดีเอง ซึ่งมันก็ดีขึ้นจริง ๆ นะ

คุณรู้มั้ยว่า จิตนาการของมนุษย์บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีโดยเฉพาะในเหตุการณ์แย่ ๆ แบบนั้น ในตอนที่พวกเรากำลังเผชิญกับคลื่นอีกระลอกโดยเฉพาะในทางเดินแคบ ๆ แบบนั้น หัวของผมมันมีภาพ ๆ หนึ่งลอยเข้ามา มันคือภาพที่ตัวของผมกำลังติดอยู่ในซากของอาคาร กลิ่นของฝุ่นปูซีเมนต์คละคลุ้งไปทั่ว พร้อมกับเสียงโอดโอยอันแผ่วเบาของผู้ร่วมชะตากรรม มันเป็นภาพที่ในเวลานั้นสมองของผมได้ฉายมันออกมาให้เห็นโดยที่ไม่สามารถสั่งมันให้หยุดคิดได้เลย ขาที่ก้าวลงบันไดต่อไป และภายในใจที่ภาวณาให้เหตุการณ์ ๆ นี้มันยุติลงเสียที อย่างน้อย ๆ ก็หยุดเขย่าตึก ๆ นี้เสียที

ผ่านไปนานแค่ไหนในเวลานั้นผมไม่อาจรู้ได้เลย ภาพของผนังปูน กับบันไดวนไร้จุดสิ้นสุด ปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมกับตัวเลขลำดับชั้นของอาคารที่บอกว่าในตอนนี้พวกเรามากันถึงชั้นที่ 16 แล้ว พวกเรายังคงเร่งฝีเท้าในขณะที่ผู้ที่ตามหลังมายังคงตะโกนตามมาเรื่อย ๆ ว่า "ข้างหน้าเร็ว ๆ หน่อยค่ะ ข้างหลังยังเหลืออีกเยอะ" พลางมีคนที่ถอดรองเท้า แซงออกเลนซ้ายและวิ่งนำลงไปก่อน ในตอนนั้นเป็นมันช่วงที่สถานการณ์แผ่นดินไหวเริ่มสงบลงแล้ว แต่ความหวาดระแวงที่ว่าพวกเราอาจจะได้เจออีกระลอกก็เป็นได้ ยังคงไว้ใจสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ เพราะงั้นเราจะต้องรีบออกไปจากที่นี่

ชั้น 5 อาคารจอดรถ ก่อนที่จะถึงชั้นนั้นผมลังเลอยู่เล็กน้อยว่าจะออกทางอาคารจอดรถดีมั้ย มันจะทำให้เราออกไปได้เร็วกว่ารึเปล่าเพราะไม่ต้องรอคนข้างหน้าที่เริ่มจะเดินต่อไม่ไหวกันแล้ว ก่อนที่จะหันไปดูหน้าแฟนที่เหนื่อยจะไม่ไหวแล้ว "โอเค.. ค่อย ๆ ไปก็แล้วกัน เร็วกว่านี้ก็คงไม่มีประโยชน์" ผมคิดในใจ พลางนึกขึ้นมาว่า "อีก 5 ชั้นเอง เราทำได้เท่านี้แหละ ในช่องทางเดินแคบ ๆ แบบนี้ เราเร็วที่สุดได้เท่านี้แหละ มันอาจจะผ่านมาแล้วหลายสิบนาที หรืออาจจะเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่เริ่มวิ่งลงมา ถ้าอาคารจะถล่มลงมา มันก็จะต้องถล่มลงมา" มันเหมือนกับว่าผมได้ปลงในชะตากรรมที่จะต้องเผชิญ (ในภายหลัง ผมได้คุยกับเพื่อนที่ทำงานในอาคารสูงที่อื่นก็มีความคิดคล้าย ๆ กันแบบนี้)

"โอ้.. เรานั้นช่างเป็นผู้ที่เล็กน้อยเหลือเกิน ภายใต้พลังของธรรมชาติบนโลกใบนี้"

ในที่สุด ป้ายตัวอักษรตัว G บอกกับเราว่าเราทำสำเร็จแล้ว มันเป็นทางออกจากบันไดหนีไฟเพื่อออกไปยังพื้นที่บริเวณล็อบบี้ของอาคาร ผมยังคงจูงมือแฟนพากันเดินออกไปจากตัวอาคาร และจะมุ่งหน้าเพื่อข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม คุณรู้ไหม? ภาพที่ผมเห็นคือ ผู้คนหลักร้อยถึงหลักพันกำลังยืนเรียงรายอยู่ริมฟุตปาธ พวกเขาต่างก็หนีตายออกมาจากอาคารต่าง ๆ แถวนั้นไม่ต่างกัน บ้างก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปหรือคลิปวีดีโอ บ้างก็ยืนกางร่มให้กับเพื่อนพยาบาลที่กำลังเป็นลมเพราะใช้แรงวิ่งหนีลงมาจากอาคาร และเมื่อต้องมาเจอกับอากาศที่สุดแสนจะร้อนในยามบ่าย

อีกภาพหนึ่งที่ผมเห็นเมื่อพาแฟนเดินข้ามถนนมายังอีกฝั่ง คือภาพของกระจกอาคารราว ๆ ชั้นที่ 15 ของอาคารมีการแตกเป็นบางจุดจากซ้ายไปขวา ผมคิดว่าโซนสูงมันคงจะโยกรุนแรงมากพอที่จะส่งความเครียดไปกดทับช่วงชั้นกลางของตัวอาคารและบิดตัวจนกระจกมันแตกออกมาแน่ ๆ ถ้าได้เห็นคลิปวีดีโอที่ใครบางคนที่อยู่ข้างล่างถ่ายเอาไว้ มันคงจะบอกผมได้ว่าตอนที่ผมนั่งอยู่ในห้องทำงานนั้นมันอันตรายมากแค่ไหน "ขอบคุณโครงสร้างของอาคารที่แม้ว่าจะเก่าแต่ก็ยังคงแข็งแรงอย่างมาก"

เราอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก ก่อนที่จะเริ่มหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาคนสำคัญ และใช่ ช่องสัญญาณของเครือข่ายที่น่าจะเต็มช่องสัญญาณเพราะทุก ๆ คนในตอนนั้นต่างต้องการที่จะโทรศัพท์หากัน ทำให้ไม่สามารถที่จะโทรแบบปกติได้ โชคยังดีที่ระบบของอินเตอร์เน็ตยังคงใช้ได้ การโทรไลน์ หรือผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ตจึงยังคงสามารถทำได้ ก่อนที่ในไลน์กลุ่มของบริษัทจะเริ่มถามถึงกันว่ายังมีใครที่ติดอยู่บนอาคารหรือไม่ และพวกเราจึงเริ่มไปรวมตัวกันในที่ที่หนึ่งเพื่อรอประกาศจากทางการต่อว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป

"ถ้าอินเตอร์เน็ตล่มไปด้วยจะเป็นอย่างไร? นึกภาพกันไม่ออกเลยใช่มั้ยละ สำหรับมนุษย์แล้วการพบกับสถานการณ์ที่คลุมเครือ ก็อาจจะสร้างเรื่องราวต่าง ๆ และความคิดก็คงจะแพร่ระบาดราวกับเชื้อไวรัส"

ยังคงไม่มีประกาศอะไรจากทางการ พวกเราหลาย ๆ คนเช็คสถานการณ์และการอัพเดทข่าวสารผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย ทั้งเรื่องที่สำคัญมาก ๆ อย่างเรื่องของ after shock ที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวไปแล้วราว ๆ 30 นาทีถึงหลายชั่วโมงหลังจากนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราต่างอ่านเจอในอินเตอร์เน็ต พวกเราเริ่มกระจายเรื่องของ after shock ออกไป เพื่อที่จะเตือนกันและกันว่าอย่าเพิ่งกลับเข้าไปยังตัวอาคาร หรืออยู่ให้หางจากตัวอาคารให้มากที่สุด อยู่ในที่โล่งแจ้ง และรอประกาศอัพเดท มีหน่วยทหารทำหน้าที่เอาน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่บริเวณนั้น ซึ่งเป็นน้ำใจดี ๆ ของหน่วยงานราชการในพื้นที่ตรงนั้นที่พวกเราได้รับมา

พวกเรายังคงรอประกาศอัพเดทสถานการณ์ต่อไป นี่ก็เป็นเวลาราว ๆ บ่าย 3 โมงแล้ว เรายังคงทำได้เพียงนั่งรอ และอ่านข่าวสารจากเพื่อนมนุษย์ที่เราไม่ได้รู้จักที่ยังคงค่อยอัพเดทสถานการณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีการรับรู้ของตน รวมไปถึงคลิปวีดีโอเหตุการณ์อาคารที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จถล่มลงมา

ขอตัดจบ.. ถ้าว่าง ๆ จะมาเขียนเรื่องอื่น ๆ ต่อ ถ้าเห็นว่าหายไปโปรดรู้ไว้ว่าข้าพเจ้าต้องไปปั่นงาน

ปล. แปะบทความเกี่ยวกับผลกระทบของแผ่นดินไหวต่อพื้นที่ของจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขียนเมื่อปี 2023 (อ่านไว้เพื่อรู้ว่ามันจะไม่จบแค่ครั้งนี้ แล้วเตรียมตัวไว้บ้างก็ดีครับ)

https://geoenvironmental-disasters.springeropen.com/articles/10.1186/s40677-023-00259-0
Author Public Key
npub1p0glyrz85nu86gevlhrsg9t3pg5uhrhq3sgwjmy8mzq0k09m30pq2jv9kv