What is Nostr?
Jakk Goodday
npub1mqc…nz85
2025-01-08 07:56:25

กำเนิด UASF และเส้นทางสองสาย

การเผชิญหน้า (The Collision Point)

กลางปี 2017 ที่ร้านคราฟท์เบียร์เล็ก ๆ ในย่านเกาะเกร็ด นนทบุรี อากาศร้อนจนเครื่องปรับอากาศ (ที่ยังไม่มี) ในร้านทำงานหนักแทบไหม้ “แจ๊ก กู้ดเดย์” (Jakk Goodday) นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เจ้าของร้านกันไว้ให้เป็นประจำ ราวกับเขาเป็นลูกค้าขาประจำระดับวีไอพี

กลิ่นกาแฟคั่ว ลอยผสมกับไอความร้อนจากนอกหน้าต่าง (ผิดร้านหรือเปล่า?) เกิดเป็นบรรยากาศขมติดปลายลิ้นชวนให้คนจิบแล้วอยากถอนใจ

เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง.. เห็นแสงแดดแผดเผาราวกับมันรู้ว่าสงคราม Blocksize กำลังคุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง

image

บรรยากาศนอกหน้าต่างกับใน ฟอรัม Bitcointalk ช่างเหมือนกันจนน่าขนลุก มันร้อนแรง ไร้ความปรานี

แจ๊กเปิดแล็ปท็อป กดเข้าเว็บฟอรัม พอเสียงแจ้งเตือน “—ติ๊ง” ดังขึ้น คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย คล้ายได้กลิ่นดินปืนกลางสนามรบ

โรเจอร์ แวร์ (Roger Ver) ไลฟ์เดือดลั่นเวที!” “ปีเตอร์ วูเล (Pieter Wuille) โต้กลับเรื่อง SegWit!” “Hard Fork ใกล้ถึงจุดปะทะแล้ว!”

แจ๊กคลิกเข้าไปในลิงก์ของไลฟ์ทันที เหมือนมือของเขาไม่ต้องการคำสั่งจากสมอง ความคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้บอกเขาว่า นี่ไม่ใช่ดีเบตธรรมดา แต่มันอาจเปลี่ยนอนาคตของ Bitcoin ได้จริง ๆ

เห็นแค่พาดหัวสั้น ๆ แต่ความตึงเครียดก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทุกข้อความเหมือนสุมไฟใส่ใจกองหนึ่งที่พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ

โทรศัพท์ของแจ๊กดังพร้อมปรากฏชื่อ แชมป์ ‘PIGROCK’ ลอยขึ้นมา เขาหยิบขึ้นมารับทันที

“ว่าไงวะแชมป์… มีอะไรด่วนหรือเปล่า?” น้ำเสียงแจ๊กฟังดูเหมือนง่วง ๆ แต่จริง ๆ เขาพร้อมจะลุกมาวิเคราะห์สถานการณ์ให้ฟังทุกเมื่อ

“พี่แจ๊ก.. ผมอ่านดีเบตเรื่อง SegWit ในฟอรัมอยู่ครับ บางคนด่าว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาจริง ๆ บ้างก็บอกถ้าเพิ่ม Blocksize ไปเลยจะง่ายกว่า… ผมเลยสงสัยว่า Hard Fork ที่เค้าพูดถึงกันนี่คืออะไร ใครคิดอะไรก็ Fork กันได้ง่าย ๆ เลยเหรอ”

“แล้วถ้า Fork ไปหลายสาย สุดท้ายเหรียญไหนจะเป็น ‘Bitcoin ที่แท้จริง’ ล่ะพี่?”

“แล้วการ Fork มันส่งผลกับนักลงทุนยังไงครับ? คนทั่วไปอย่างผมควรถือไว้หรือขายหนีตายดีล่ะเนี่ย?”

แจ๊กยิ้มมุมปาก ชอบใจที่น้องถามจี้จุด

“เอางี้… การ Fork มันเหมือนแบ่งถนนออกเป็นสองสาย ใครชอบกติกาเก่าก็วิ่งถนนเส้นเก่า ใครอยากแก้กติกาใหม่ก็ไปถนนเส้นใหม่”

“แต่ประเด็นคือ… นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมีผลต่ออัตลักษณ์ของ Bitcoin ทั้งหมดเลยนะมึง—ใครจะยอมปล่อยผ่านง่าย ๆ”

“คิดดูสิ ถ้าครั้งนี้พวกเขา Fork จริง มันอาจไม่ได้เปลี่ยนแค่เครือข่าย แต่เปลี่ยนวิธีที่คนมอง Bitcoin ไปตลอดกาลเลยนะ”

“แล้วใครมันจะอยากลงทุนในระบบที่แตกแยกซ้ำแล้วซ้ำเล่าวะ?”

“งั้นหมายความว่าตอนนี้ก็มีสองแนวใหญ่ ๆ ชัวร์ใช่ไหมครับ?” แชมป์ถามต่อ

“ฝั่ง โรเจอร์ แวร์ ที่บอกว่าต้องเพิ่ม Blocksize ให้ใหญ่จุใจ กับฝั่งทีม Core อย่าง ปีเตอร์ วูเล ที่ยืนยันต้องใช้ SegWit ทำให้บล็อกเบา ไม่กระทบการกระจายอำนาจ?”

“ใช่เลย” แจ๊กจิบกาแฟดำเข้ม ๆ ผสมน้ำผึ้งไปหนึ่งอึก

“โรเจอร์นี่เขาเชื่อว่า Bitcoin ต้องเป็นเงินสดดิจิทัลที่ใช้จ่ายไว ค่าธรรมเนียมไม่แพง ส่วนปีเตอร์กับ Bitcoin Core มองว่าการเพิ่มบล็อกเยอะ ๆ มันจะไปฆ่า Node รายย่อย คนไม่มีทุนก็รัน Node ไม่ไหว สุดท้าย Bitcoin จะกลายเป็นระบบกึ่งรวมศูนย์ ซึ่งมันผิดหลักการเดิมของ ซาโตชิ ไงล่ะ”

“ฟังแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะพี่… งั้นที่ผมได้ยินว่า จิฮั่น อู๋ (Jihan Wu) เจ้าของ Bitmain ที่ถือ Hashrate เกินครึ่งนี่ก็มาอยู่ฝั่งเดียวกับโรเจอร์ใช่ไหม?”

“เพราะยิ่งบล็อกใหญ่ ค่าธรรมเนียมยิ่งเพิ่ม นักขุดก็ได้กำไรสูงขึ้นใช่ป่ะ?”

“ไอ้เรื่องกำไรก็ส่วนหนึ่ง…” แจ๊กถอนหายใจ

“แต่ที่สำคัญกว่านั้นคืออำนาจต่อรอง… ตอนประชุมลับที่ฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว พี่เองก็ถูกชวนให้เข้าไปในฐานะคนกลาง เลยเห็นภาพน่าขนลุกอยู่หน่อย ๆ”

“จิฮั่นนั่งไขว่ห้างด้วยสีหน้ามั่นใจมาก ด้วย Hashrate ราว 60% ของโลก สั่งซ้ายหันขวาหันเหมือนเป็นแม่ทัพใหญ่ได้เลย พอโรเจอร์ก็ไฟแรงอยู่แล้ว อยากให้ Bitcoin ครองโลกด้วยวิธีของเขา สองคนนี่จับมือกันทีจะเขย่าชุมชน Bitcoin ได้ทั้งกระดาน”

“พี่รู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในศึกชิงบัลลังก์ยุคใหม่ คนหนึ่งยึดพลังขุด คนหนึ่งยึดความศรัทธาในชื่อ Bitcoin แต่สิ่งที่พี่สงสัยในตอนนั้นคือ… พวกเขาสู้เพื่อใครกันแน่?”

แชมป์เงียบไปครู่เหมือนกำลังประมวลผล “แล้วตอนนั้นพี่คิดยังไงบ้างครับ? รู้สึกกลัวหรือว่ายังไง?”

“จะไม่กลัวได้ไง!” แจ๊กหัวเราะแห้ง ๆ แวบหนึ่งก็นึกถึงสีหน้าที่ยิ้มเยาะของทั้งคู่ตอนประกาศความพร้อมจะ Fork

“พี่อดคิดไม่ได้ว่าถ้า Core ยังไม่ยอมขยายบล็อก พวกนั้นจะลากนักขุดทั้งกองทัพแฮชเรตไปทำเครือข่ายใหม่ให้เป็น ‘Bitcoin สายใหญ่’ แล้วทิ้งเครือข่ายเดิมให้ซวนเซ”

“แค่คิดก็นึกถึงสงครามกลางเมืองในหนังประวัติศาสตร์แล้วน่ะ.. แตกเป็นสองฝ่าย สุดท้ายใครแพ้ใครชนะ ไม่มีใครทำนายได้จริง ๆ” image

พูดจบ.. เขาเปิดฟอรัมดูไลฟ์ดีเบตจากงานในปี 2017 ต่อ โรเจอร์ แวร์ กำลังพูดในโทนร้อนแรง

“Bitcoin ไม่ใช่ของคนรวย! ถ้าคุณไม่เพิ่ม Blocksize คุณก็ทำให้ค่าธรรมเนียมพุ่งจนคนธรรมดาใช้ไม่ได้!”

ขณะเดียวกัน ปีเตอร์ วูเล่ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเยือกเย็นราวกับตั้งรับมานาน “การเพิ่มบล็อกคือการทำลายโครงสร้าง Node รายย่อยในระยะยาว แล้วมันจะยังเรียกว่ากระจายอำนาจได้หรือ?”

“ถ้าคุณอยากให้ Bitcoin เป็นของคนรวยเพียงไม่กี่คน ก็เชิญขยายบล็อกไปเถอะนะ แต่ถ้าอยากให้มันเป็นระบบที่คนทุกระดับมีส่วนร่วมจริง ๆ ..คุณต้องฟังเสียง Node รายเล็กด้วย” ปีเตอร์กล่าว

เสียงผู้คนในงานโห่ฮากันอย่างแตกเป็นสองฝ่าย บ้างก็เชียร์ความตรงไปตรงมาของโรเจอร์ บ้างก็เคารพเหตุผลเชิงเทคนิคของปีเตอร์

ข้อความจำนวนมหาศาลในฟอรัมต่างโหมกระพือไปต่าง ๆ นานา มีทั้งคำด่าหยาบคายจนแจ๊กต้องเบือนหน้า ตลอดจนการวิเคราะห์ลึก ๆ ถึงอนาคตของ Bitcoin ที่อาจไม่เหมือนเดิม

ในระหว่างนั้น.. แชมป์ส่งข้อความ Discord กลับมาอีก

“พี่ ถ้า Fork จริง ราคาจะป่วนแค่ไหน? ที่เขาว่าคนถือ BTC จะได้เหรียญใหม่ฟรี ๆ จริงไหม? ผมกลัวว่าถ้าเกิดแบ่งเครือข่ายไม่รู้กี่สาย ตลาดอาจมั่วจนคนหายหมดก็ได้ ใช่ไหมครับ?”

“แล้วถ้าเครือข่ายใหม่ล้มเหลวล่ะครับ? จะส่งผลอะไรต่อชุมชน Bitcoin เดิม?”

“ไอ้แชมป์มึงถามรัวจังวะ!?” แจ๊กสบถเพราะเริ่มตั้งรับไม่ทัน

“ก็ขึ้นกับตลาดจะเชื่อว่าสายไหนเป็น ‘ของจริง’ อีกนั่นแหละ” แจ๊กพิมพ์กลับ

“บางคนถือไว้เผื่อได้เหรียญใหม่ฟรี บางคนขายหนีตายก่อน”

“พี่เองก็ยังไม่กล้าการันตีเลย แต่ที่แน่ ๆ สงครามนี้ไม่ได้มีแค่ผลกำไร มันกระทบศรัทธาของชุมชน Bitcoin ทั้งหมดด้วย”

“ถ้าชาวเน็ตเลิกเชื่อมั่น หรือคนนอกมองว่าพวกเราทะเลาะกันเองเหมือนเด็กแย่งของเล่น ต่อให้ฝั่งไหนชนะ ก็อาจไม่มีผู้ใช้เหลือให้ฉลอง”

แล้วสายตาแจ๊กก็ปะทะกับกระทู้ใหม่ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าฟอรัม

“โรเจอร์ แวร์ ประกาศ: ถ้าไม่เพิ่ม Blocksize เราจะฟอร์กเป็น Bitcoin ที่แท้จริง!”

ตัวหนังสือหนาแปะอยู่ตรงนั้นส่งแรงสั่นสะเทือนราวกับจะดึงคนในวงการให้ต้องเลือกข้างกันแบบไม่อาจกลับหลังได้

แจ๊กเอื้อมมือปิดแล็ปท็อปช้า ๆ คล้ายยอมรับความจริงว่าหนทางประนีประนอมอาจไม่มีอีกแล้ว..

“สงครามนี่คงใกล้ระเบิดเต็มทีล่ะนะ” เขาลุกจากเก้าอี้ สะพายเป้ พึมพำกับตัวเองขณะมองกาแฟดำที่เหลือครึ่งแก้ว “ถ้าพวกเขาฟอร์กจริง โลกคริปโตฯ ที่เราเคยรู้จักอาจไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป”

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดที่แผดเผาราวกับกำลังบอกว่า.. อนาคตของ Bitcoin อยู่ในจุดที่เส้นแบ่งระหว่างชัยชนะกับความล่มสลายเริ่มพร่าเลือน… และอาจไม่มีทางย้อนกลับ

ก่อนเดินออกจากร้าน เขากดส่งข้อความสั้น ๆ ถึงแชมป์

“เตรียมใจกับความปั่นป่วนไว้ให้ดี ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็น Bitcoin แตกเป็นหลายสาย.. ใครจะอยู่ใครจะไปไม่รู้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้คงไม่จบง่าย ๆ แน่”

แจ๊กผลักประตูออกไปพบกับแดดจัดที่เหมือนแผดเผากว่าเดิม พายุร้อนไม่ได้มาแค่ในรูปความร้อนกลางกรุง แต่มาในรูป “สงคราม Blocksize” ที่พร้อมจะฉีกชุมชนคริปโตออกเป็นฝักฝ่าย และอาจลามบานปลายจนกลายเป็นศึกประวัติศาสตร์

ทว่าสิ่งที่ค้างคาใจกลับเป็นคำถามนั้น…

เมื่อเครือข่ายแบ่งเป็นหลายสายแล้ว เหรียญไหนจะเป็น Bitcoin จริง?

หรือบางที… ในโลกที่ใครก็ Fork ได้ตามใจ เราจะไม่มีวันได้เห็น “Bitcoin หนึ่งเดียว” อีกต่อไป?

คำถามที่ไม่มีใครตอบได้ชัดนี้ส่องประกายอยู่ตรงปลายทาง ราวกับป้ายเตือนว่า “อันตรายข้างหน้า” และคนในชุมชนทั้งหมดกำลังจะต้องเผชิญ…

โดยไม่มีใครมั่นใจเลยว่าจะรอด หรือจะแตกสลายไปก่อนกันแน่…

image

สองเส้นทาง (The Forked Path)

กลางปี 2017 ท้องฟ้าเหนือบุรีรัมย์ยังคงคุกรุ่นด้วยไอแดดและความร้อนแรงของสงคราม Blocksize แจ๊ก กู้ดเดย์ ก้าวเข้ามาในคาเฟ่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในย่านเทศบาลด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาพยายามมองหามุมสงบสำหรับนั่งตั้งหลักในโลกความเป็นจริง ก่อนจะจมดิ่งสู่สงครามในโลกดิจิทัลบนฟอรัม Bitcointalk อีกครั้ง

กลิ่นกาแฟคั่วเข้มลอยกระทบจมูก แจ๊กสั่งกาแฟดำแก้วโปรดแล้วปลีกตัวมาที่โต๊ะริมกระจก กระจกบานนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์จัดจ้า ราวกับจะบอกว่าวันนี้คงไม่มีใครหนีความร้อนที่กำลังแผดเผา ทั้งในอากาศและในชุมชน Bitcoin ได้พ้น

เขาเปิดแล็ปท็อปขึ้น ล็อกอินเข้า Bitcointalk.org ตามเคย ข้อความและกระทู้มากมายกระหน่ำแจ้งเตือน ไม่ต่างอะไรจากสมรภูมิคำพูดที่ไม่มีวันหลับ *“Hong Kong Agreement ล้มเหลวจริงหรือ?”* *“UASF คือปฏิวัติโดย Node?”* เหล่านี้ล้วนสะท้อนความไม่แน่นอนในชุมชน Bitcoin ที่ตอนนี้ ดูคล้ายจะถึงจุดแตกหักเต็มที…

“ทั้งที่ตอนนั้นเราก็พยายามกันแทบตาย…” แจ๊กพึมพำ มองจอด้วยสายตาเหนื่อยใจพร้อมภาพความทรงจำย้อนกลับเข้าในหัว เขายังจำการประชุมที่ฮ่องกงเมื่อต้นปี 2016 ได้แม่น ยามนั้นความหวังในการประนีประนอมระหว่าง Big Block และ Small Block ดูเป็นไปได้ หากแต่กลายเป็นละครฉากใหญ่ที่จบลงโดยไม่มีใครยอมถอย…


…การประชุม Hong Kong Agreement (2016)

ภายในห้องประชุมหรูของโรงแรมใจกลางย่านธุรกิจฮ่องกง บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าการเจรจาสงบศึกในสมัยโบราณ

โรเจอร์ แวร์ ยืนเสนอว่า “การเพิ่ม Blocksize สำคัญต่ออนาคตของ Bitcoin — เราอยากให้คนทั่วไปเข้าถึงได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพง ๆ”

จิฮั่น อู๋ (Jihan Wu)” จาก Bitmain นั่งฝั่งเดียวกับโรเจอร์ คอยเสริมว่าการเพิ่มบล็อกคือโอกาสสำหรับนักขุด และหากทีม Core ไม่ยอม พวกเขาก็พร้อม “ดัน Fork” ขึ้นได้ทุกเมื่อ ด้วย Hashrate มหาศาลที่พวกเขาคุมไว้

ฝั่ง ปีเตอร์ วูเล (Pieter Wuille) กับ เกร็ก แมกซ์เวลล์ (Greg Maxwell) จาก Bitcoin Core เถียงกลับอย่างใจเย็นว่า “การขยายบล็อกอาจดึงดูดทุนใหญ่ ๆ แล้วไล่ Node รายย่อยออกไป ชุมชนอาจไม่เหลือความกระจายอำนาจอย่างที่ Satoshi ตั้งใจ”

สุดท้าย บทสรุปที่เรียกว่า Hong Kong Agreement ลงนามได้ก็จริง แต่มันกลับเป็นแค่ลายเซ็นบนกระดาษที่ไม่มีฝ่ายไหนเชื่อใจใคร

image

แจ๊กเบือนสายตาออกนอกหน้าต่าง สังเกตเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ บ้างก็ดูรีบร้อน บ้างเดินทอดน่องเหมือนว่างเปล่า นี่คงไม่ต่างอะไรกับชาวเน็ตในฟอรัมที่แบ่งฝ่ายกันใน “สงคราม Blocksize” อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

แค่ไม่กี่นาที… เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อ แชมป์ ‘PIGROCK’ โชว์หราเต็มจออีกครั้ง

“ว่าไงเจ้าแชมป์?” แจ๊กกรอกเสียงในสายด้วยอารมณ์เหนื่อย ๆ ทว่าพร้อมจะอธิบายเหตุการณ์ตามสไตล์คนที่ชอบครุ่นคิด

“พี่แจ๊ก.. ผมเข้าใจแล้วว่าการประชุมฮ่องกงมันล้มเหลว ตอนนี้ก็มีคนแยกเป็นสองขั้ว Big Block กับ SegWit แต่ผมเจออีกกลุ่มในฟอรัมเรียกว่า UASF (User-Activated Soft Fork) ที่เหมือนจะกดดันพวกนักขุดให้ยอมรับ SegWit…”

“อยากรู้ว่าตกลง UASF มันสำคัญยังไงครับ? ทำไมใคร ๆ ถึงเรียกว่าเป็น การปฏิวัติโดย Node กัน?”

แจ๊กอมยิ้มก่อนจะวางแก้วกาแฟลง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “UASF น่ะหรือ? มันเปรียบได้กับการที่ ‘ชาวนา’ หรือ ‘ประชาชนตัวเล็ก ๆ’ ออกมาประกาศว่า ‘ฉันจะไม่รับบล็อกของนักขุดที่ไม่รองรับ SegWit นะ ถ้าแกไม่ทำตาม ฉันก็จะตัดบล็อกแกทิ้ง!’ เสมือนเป็นการปฏิวัติที่บอกว่าแรงขุดมากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ ถ้าคนรัน Node ไม่ยอม… เชนก็เดินต่อไม่ได้

“โห… ฟังดูแรงจริง ๆ พี่ แล้วถ้านักขุดไม่ร่วมมือ UASF จะเกิดอะไรขึ้น?” แชมป์ถามต่อเสียงสั่นนิด ๆ

“ก็อาจเกิด ‘Chain Split’ ยังไงล่ะ”

“แยกเครือข่ายเป็นสองสาย สุดท้ายเครือข่ายเดิม กับเครือข่ายใหม่ที่รองรับ SegWit ไม่ตรงกัน คนอาจสับสนหนักยิ่งกว่า Hard Fork ปกติด้วยซ้ำ”

“แต่นั่นแหละ… มันแสดงพลังว่าผู้ใช้ทั่วไปก็มีสิทธิ์กำหนดทิศทาง Bitcoin ไม่ได้น้อยไปกว่านักขุดเลย”

“เข้าใจแล้วครับพี่… เหมือน การปฏิวัติโดยประชาชนตาดำ ๆ ที่จับมือกันค้านอำนาจทุนใหญ่ใช่ไหม?” แชมป์หยุดครู่หนึ่ง “ผมเคยคิดว่า Node รายย่อยน้อยรายจะไปสู้อะไรไหว แต่ตอนนี้ดูท่าจะเปลี่ยนเกมได้จริงว่ะพี่…”

“ใช่เลย” แจ๊กตอบ

“นี่เป็นความพิเศษของ Bitcoin ที่บอกว่า ‘เราคุมเครือข่ายร่วมกัน’ แม้แต่ Bitmain ที่มี Hashrate มากกว่า 50% ก็หนาวได้ถ้าผู้ใช้หรือ Node รายย่อยรวมพลังกันมากพอ”

แชมป์ฟังด้วยความตื่นเต้นปนกังวล “แล้วแบบนี้ เรื่อง SegWit กับ Blocksize จะจบยังไงครับ? เห็นข่าวว่าถ้านักขุดโดนกดดันมาก ๆ คนอย่าง จิฮั่น อู๋ อาจออกไปสนับสนุน Bitcoin Cash ที่จะเปิดบล็อกใหญ่”

แจ๊กเลื่อนดูฟีดข่าวในฟอรัม Bitcointalk อีกครั้ง ก็เห็นพาดหัวชัด ๆ

“Bitmain ประกาศกร้าวพร้อมหนุน BCH เต็มพิกัด!”

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ก็ใกล้เป็นจริงแล้วล่ะ… โรเจอร์ แวร์ เองก็ผลักดัน BCH ว่าคือ Bitcoin แท้ที่ค่าธรรมเนียมถูก ใช้งานได้จริง ส่วนฝั่ง BTC ที่ยึดเอา SegWit เป็นหลัก ก็ไม่ยอมให้ Blocksize เพิ่มใหญ่เกินจำเป็น..”

“ต่างคนต่างมีเหตุผล… แต่อุดมการณ์นี่คนละทางเลย”

“แล้วพี่คิดว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะครับ?”

“เฮ้ย.. มึงถามยากไปหรือเปล่า” แจ๊กหัวเราะหึ ๆ “ทุกคนมีโอกาสได้หมด และก็มีโอกาสพังหมดเหมือนกัน ถ้า UASF กดดันนักขุดให้อยู่กับ Core ได้ พวกเขาอาจยอมแพ้ แต่ถ้า Bitmain เทใจไป BCH นักขุดรายใหญ่คนอื่น ๆ ก็คงตาม”

“แล้วถ้าฝั่ง BCH เริ่มได้เปรียบ… อาจดึงคนไปเรื่อย ๆ สุดท้ายจะเหลือไหมล่ะฝั่ง SegWit ตัวจริง?”

“งั้น Node รายย่อยจะยืนอยู่ตรงไหนล่ะครับพี่?” แชมป์ถามอย่างหนักใจ

“Node รายย่อยและชุมชนผู้ใช้นี่แหละ คือ ตัวแปรชี้ขาด ทุกวันนี้คนกลุ่ม UASF พยายามโชว์พลังว่าตัวเองมีสิทธิ์ตั้งกติกาเหมือนกัน ไม่ใช่แค่นักขุด”

“อย่างที่บอก.. มันคือการ ‘ลุกขึ้นปฏิวัติ’ โดยชาวนา ต่อสู้กับเจ้าที่ที่ถือ ‘แฮชเรต’ เป็นอาวุธ”

แจ๊กตบบ่าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย

“นี่แหละความมันของ Bitcoin ไม่มีเจ้าไหนสั่งได้เบ็ดเสร็จจริง ๆ ทุกฝั่งต่างถือไพ่คนละใบ สงครามยังไม่รู้จะจบยังไง ถึงอย่างนั้นมันก็สะท้อนวิญญาณ ‘decentralization’ ที่แท้จริง กล้ายอมรับสิทธิ์ทุกฝ่ายเพื่อแข่งขันกันตามกติกา”

image

จู่ ๆ ในหน้าฟอรัมก็มีกระทู้ใหม่เด้งเด่น “Bitmain หนุน Bitcoin Cash ด้วย Hashrate กว่า 50%! สงครามเริ่มแล้ว?” ข้อความนั้นดังโครมครามเหมือนระเบิดลงกลางวง

แจ๊กนิ่งไปชั่วขณะ สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนที่กำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง เหงื่อบางเบาซึมบนหน้าผากแม้อากาศในคาเฟ่จะเย็นฉ่ำ เขาหันมองโทรศัพท์ที่ยังค้างสายกับแชมป์ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“นี่ล่ะ.. จุดเริ่มของสองเส้นทางอย่างชัดเจน… บล็อกใหญ่จะไปกับ BCH ส่วน SegWit ก็อยู่กับ BTC แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายไม่คิดถอยง่าย ๆ นักขุดจะเลือกข้างไหน? Node รายย่อยจะยอมใคร?”

“เมื่อสงครามครั้งนี้นำไปสู่การแบ่งเครือข่าย ใครกันแน่จะเป็นผู้ชนะตัวจริง? หรืออาจไม่มีผู้ชนะเลยก็เป็นได้”

ปลายสายเงียบงัน มีแต่เสียงหายใจของแชมป์ที่สะท้อนความกังวลปนอยากรู้อย่างแรง

“พี่… สุดท้ายแล้วเรากำลังยืนอยู่บนรอยแยกที่พร้อมจะฉีกทุกอย่างออกเป็นชิ้น ๆ ใช่ไหมครับ?”

“อาจจะใช่ก็ได้… หรือถ้ามองอีกมุม อาจเป็นวัฏจักรที่ Bitcoin ต้องเจอเป็นระยะ ทุกคนมีสิทธิ์ Fork ได้ตามใจใช่ไหมล่ะ? ก็ขอให้โลกได้เห็นกันว่าชุมชนไหนแน่จริง” แจ๊กพูดทิ้งท้ายก่อนจะแย้มยิ้มเจือรอยอ่อนล้า

ภาพบนจอคอมพิวเตอร์ฉายกระทู้ถกเถียงกันไม่หยุด ประหนึ่งเวทีดีเบตที่ไม่มีวันปิดไฟ แจ๊กจิบกาแฟอึกสุดท้ายเหมือนจะเตรียมพร้อมใจก่อนเข้าสู่สนามรบครั้งใหม่ สงครามยังไม่จบ.. ซ้ำยังดูหนักข้อยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ ชำเลืองมองแสงแดดจัดจ้าที่สาดลงมาไม่หยุด เปรียบเหมือนไฟแห่งข้อขัดแย้งที่เผาผลาญทั้งชุมชน Bitcoin ไม่ว่าใครจะเลือกอยู่ฝั่งไหน กลุ่ม UASF, กลุ่ม Big Block, หรือ กลุ่ม SegWit ทางเดินข้างหน้าล้วนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

“สุดท้ายแล้ว… เมื่อกระดานแบ่งเป็นสองเส้นทางอย่างเด่นชัด สงคราม Blocksize จะจบลงด้วยใครได้บทผู้ชนะ?”

“หรือบางที… มันอาจไม่มีผู้ชนะที่แท้จริงในระบบที่ใครก็ Fork ได้ตลอดเวลา”

คำถามนี้ลอยติดค้างอยู่ในบรรยากาศยามบ่ายที่ร้อนระอุ ชวนให้ใครก็ตามที่จับตาดูสงคราม Blocksize ต้องฉุกคิด

เมื่อไม่มีใครเป็นเจ้าของ Bitcoin อย่างสมบูรณ์ ทุกคนจึงมีสิทธิ์บงการและเสี่ยงต่อการแตกแยกได้ทุกเมื่อ แล้วท้ายที่สุด ชัยชนะ–ความพ่ายแพ้ อาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของโลกคริปโตฯ

แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการวิวัฒน์ที่ไม่มีวันจบสิ้น…

image

เมาท์แถมเรื่อง UASF (User-Activated Soft Fork)

นี่สนามรบยุคกลางที่ดูเหมือนในหนังแฟนตาซี ทุกคนมีดาบ มีโล่ แต่จู่ ๆ คนตัวเล็กที่เราไม่เคยสังเกต—*พวกชาวนา ช่างไม้ คนแบกน้ำ*—กลับรวมตัวกันยกดาบบุกวังเจ้าเมือง พร้อมตะโกนว่า “พอเถอะ! เราก็มีสิทธิ์เหมือนกัน!”

มันอาจจะดูเวอร์ ๆ หน่อยใช่ไหมครับ?

แต่ในโลก Bitcoin ปี 2017 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปแบบ “User-Activated Soft Fork” หรือ UASF การปฏิวัติด้วยพลังโหนด ซึ่งทำให้นักขุดยักษ์ใหญ่ตัวสั่นงันงกันมาแล้ว!

แล้ว UASF มันคืออะไรล่ะ?

“User-Activated Soft Fork” หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “UASF” ไม่ใช่อัปเกรดซอฟต์แวร์สวย ๆ แต่เป็น “ดาบเล่มใหม่” ที่คนตัวเล็ก—หมายถึง โหนด รายย่อย—ใช้ต่อรองกับนักขุดรายใหญ่ โดยกติกาคือ.. ถ้านักขุดไม่ทำตาม (เช่น ไม่รองรับ SegWit) โหนดก็จะปฏิเสธบล็อกของพวกเขาอย่างไม่เกรงใจใคร

สมมุติว่าคุณคือโหนด..

คุณรันซอฟต์แวร์ Bitcoin คอยตรวจสอบธุรกรรม วันดีคืนดี คุณประกาศ “ต่อไปถ้าใครไม่รองรับ SegWit ฉันไม่ยอมรับบล็อกนะ!” นี่ล่ะครับ “UASF” ตัวเป็น ๆ

คำขวัญสุดฮิตของ UASF

“No SegWit, No Block”

หรือแปลว่าถ้าบล็อกไม่รองรับ SegWit ก็เชิญออกไปเลยจ้า..

มันเหมือนการที่ชาวนาโผล่มาตบโต๊ะอาหารท่านขุนว่า “นายใหญ่จะปลูกอะไรก็ปลูกไป แต่ไม่งั้นฉันไม่รับผลผลิตนายนะ!”

ความเชื่อมโยงกับ BIP 148

ถ้าจะพูดถึง UASF ต้องรู้จัก BIP 148 ไว้นิดนึง มันเปรียบเหมือน “ธงปฏิวัติ” ที่ตีตราว่าวันที่ 1 สิงหาคม 2017 คือเส้นตาย!

BIP 148 บอกไว้ว่า.. ถ้าถึงวันนั้นแล้วยังมีนักขุดหน้าไหนไม่รองรับ SegWit บล็อกที่ขุดออกมาก็จะถูกโหนดที่ใช้ UASF “แบน” หมด

ผลลัพธ์ที่ตั้งใจ นักขุดไม่อยากโดนแบนก็ต้องทำตาม UASF กล่าวคือ “นายต้องรองรับ SegWit นะ ไม่งั้นอด!”

หลายคนกลัวกันว่า “อ้าว ถ้านักขุดใหญ่ ๆ ไม่ยอมแล้วหันไปขุดสายอื่น จะไม่กลายเป็นแยกเครือข่าย (Chain Split) หรือ?”

ใช่ครับ.. มันอาจเกิดสงครามสายใหม่ทันทีไงล่ะ

ทำไม UASF ถึงสำคัญ?

ย้อนกลับไปก่อนปี 2017 Bitcoin มีปัญหาโลกแตกทั้งค่าธรรมเนียมแพง ธุรกรรมหน่วง บวกกับความขัดแย้งเรื่อง “จะเพิ่ม Blocksize ดีไหม?” ทางกลุ่มนักขุดรายใหญ่ (นำโดย Bitmain, Roger Ver ฯลฯ) รู้สึกว่า “SegWit ไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง” แต่อีกฝั่ง (ทีม Core) ชี้ว่า “Blocksize ใหญ่มากไปจะรวมศูนย์นะ โหนดรายย่อยตายหมด”

UASF เลยโผล่มา เหมือนชาวนาตะโกนว่า

“หุบปากได้แล้วไอ้พวกที่สู้กัน! ถ้าพวกแกไม่รองรับ SegWit พวกข้า (โหนด) ก็จะไม่เอาบล็อกแก”

สาระก็คือ.. มันคือตัวบ่งชี้ว่าคนตัวเล็กอย่างโหนดรายย่อยก็มีพลังต่อรอง เป็นกลไกที่ดึงอำนาจจากมือทุนใหญ่กลับสู่มือชุมชน (Decentralization ที่แท้ทรู)

วิธีการทำงานของ UASF

ลองจินตนาการตาม..

  1. การกำหนดเส้นตาย BIP 148 ประกาศไว้ “ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2017 ถ้านายยังไม่รองรับ SegWit โหนด UASF จะไม่รับบล็อกนาย”

  2. ถ้าคุณเป็นนักขุด… คุณขุดบล็อกออกมา แต่ไม่ได้ตีธง “ฉันรองรับ SegWit” UASF โหนดเห็นปุ๊บ พวกเขาจะจับโยนทิ้งไปเลย

  3. ผลกระทบ? นักขุดที่ไม่ยอมทำตามจะเจอปัญหา บล็อกที่ขุดออกมาไม่มีใครรับ—เสียแรงขุดฟรี

อาจเกิด Chain Split คือ แยกเครือข่ายเลย ถ้านักขุดเหล่านั้นไปตั้งสายใหม่

ความสำเร็จและความท้าทายของ UASF

ความสำเร็จ.. หลังการรวมพลังผู้ใช้ โหนดรายย่อยกดดันนักขุดได้ไม่น้อย จนกระทั่ง SegWit เปิดใช้งานจริงใน Bitcoin วันที่ 24 สิงหาคม 2017 ช่วยให้ธุรกรรมเร็วขึ้น แก้ Transaction Malleability และเปิดทางสู่ Lightning Network ในอนาคต

ความท้าทาย.. นักขุดบางค่ายไม่โอเค.. โดยเฉพาะ Bitmain ซึ่งคาดว่าจะสูญรายได้บางส่วน ก็นำไปสู่การสนับสนุน “Bitcoin Cash (BCH)” แยกสาย (Hard Fork) ของตัวเองตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2017 นั่นเอง

ว่าแล้วก็เปรียบง่าย ๆ

UASF เหมือนปฏิบัติการยึดคฤหาสน์เจ้าเมืองมาเปิดให้ชาวบ้านเข้าอยู่ฟรี.. แต่อีกฝ่ายบอก

“งั้นฉันออกไปตั้งคฤหาสน์ใหม่ดีกว่า!”

บทเรียนสำคัญ UASF เป็นตัวอย่างชัดว่า “ผู้ใช้” หรือ โหนดรายย่อย สามารถสร้างแรงกดดันให้นักขุดต้องยอมเปลี่ยนได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ยอมรับเงื่อนไขที่ขุดกันมา

ผลกระทบระยะยาวหลังจากนั้นล่ะ?

SegWit ถูกใช้งาน ทำให้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมลดลง (ช่วงหนึ่ง) เกิด Lightning Network เป็น Layer 2 สุเฟี้ยวของ Bitcoin เกิด BCH (Bitcoin Cash) เป็นสายแยกที่อ้างว่า Blocksize ใหญ่คือทางออก

สรุปแล้ว UASF ทำให้โลกได้รู้ว่า..

Bitcoin ไม่ใช่ของนักขุด หรือของฝ่ายพัฒนาใดฝ่ายเดียว แต่มันเป็นของทุกคน!

“Bitcoin เป็นของทุกคน”

ไม่มีใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าคุณจะถือ Hashrate มากแค่ไหน ถ้า Node ทั่วโลกไม่เอา ก็จบ!

“แรงขุดใหญ่แค่ไหน ก็แพ้ใจมวลชน!”

(น่าจะมีตอนต่อไปนะ.. ถ้าชอบก็ Zap โหด ๆ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ)

Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85