What is Nostr?
Jakk Goodday
npub1mqc…nz85
2024-05-10 14:03:50

Soup's Value - จากแฟนคลับสู่ประธานซุป

จุดเริ่มต้นของตำนาน

ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้าและลมทะเลเย็นสบายของหาดเมืองแกลง ชายหนุ่มรูปร่างกระทัดรัดนามว่า “ซุป” กำลังนั่งจดจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ดวงตาเป็นประกายฉายแววความสนใจขณะไล่อ่านบทความวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ ความรู้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวอักษรบนหน้าจอ แต่มันคือแรงบันดาลใจ เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่รอการขุดค้นสำหรับเขา

ซุป ไม่ใช่หนุ่มนักเรียนหัวกะทิหรือบัณฑิตจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยดัง แต่เป็นชายหนุ่มธรรมดาที่หลงใหลในศาสตร์แห่งการจัดสรรทรัพยากรอันหายาก เศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสำนักคลาสสิคหรือออสเตรียน ล้วนดึงดูดความสนใจของเขาให้เข้าไปสำรวจอย่างลึกซึ้ง ยิ่งเรียนรู้ ซุปยิ่งค้นพบความมหัศจรรย์ของศาสตร์นี้ มันไม่ใช่แค่ทฤษฎีบนหน้ากระดาษ แต่สะท้อนอยู่ในทุกๆ การกระทำของมนุษย์

มันเหมือนเวลาที่เราไปเที่ยวทะเล.. เราไม่ได้แค่เห็นน้ำทะเลสีฟ้าสวยงาม แต่เราสัมผัสได้ถึงไอเย็นของลมทะเล ได้ยินเสียงคลื่นซัดสาด ได้กลิ่นอายของเกลือ ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เองก็เช่นกัน เราจะมองเห็นมันได้ในทุกๆ การตัดสินใจ ทุกๆ การกระทำ ตั้งแต่การซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงการเลือกอาชีพ

หนึ่งในขุมทรัพย์ความรู้ที่ซุปหลงใหลมากที่สุด คือ เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “มูลค่าอัตวิสัย” (Subjective Value) ทฤษฎีนี้สอนให้เขาเข้าใจว่ามูลค่าของสิ่งต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิต หรือแรงงานที่ใส่ลงไป แต่มันขึ้นอยู่กับการประเมินของแต่ละบุคคล สิ่งที่สำคัญสำหรับคนหนึ่ง อาจดูไร้ค่าสำหรับอีกคน และมูลค่าของสิ่งเดียวกันก็อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์

ซึ่งก็เหมือนกับตอนเรายังเด็กๆ ของเล่นชิ้นโปรดอาจเป็นตุ๊กตากันหมีตัวเก่าๆ แต่วันนี้ ตุ๊กตาตัวนั้นอาจถูกเก็บไว้ในกล่องใต้เตียงไปแล้ว เพราะความต้องการของเราเปลี่ยนไป เราให้คุณค่ากับสิ่งอื่นๆ มากกว่าเมื่อเวลาผ่านไป

ความหลงใหลในเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนนำพาซุปไปรู้จักกับ อ.พิริยะ และทีมงาน Right Shift กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นเผยแพร่ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์อย่างเข้าใจง่าย ซุปกลายเป็นแฟนตัวยง ติดตามผลงานแทบทุกชิ้น และใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสร่วมงานกับทีม แต่ด้วยความขี้อายและอ่อนน้อมถ่อมตน ซุปจึงไม่เคยกล้าเอ่ยปาก เขาเลือกที่จะเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ อย่างเงียบๆ

บางครั้ง.. ความฝันก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ เราต้องหมั่นรดน้ำ พรวนดิน และดูแลมันอย่างดี ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันจะเติบโตงอกงามเมื่อไร แต่ถ้าเรายังคงดูแลมันต่อไป สักวันหนึ่งมันจะผลิดอกออกผลให้เราได้ชื่นชม

image

จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา

ชีวิตของซุป.. เหมือนเรือเล็กที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ มีความสุขกับการเรียนรู้ เสพย์ติดความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์และมีความฝันเล็กๆ ที่อยากร่วมงานกับทีม Right Shift

วันหนึ่ง.. โชคชะตาก็เล่นตลก เหมือนส่งคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามาหาเรือลำน้อยของซุป

Right Shift กำลังประสบปัญหาขาดแคลนนักตัดต่อวิดีโอคลิป จนกระทั่ง Jakk Goodday หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ต้องลงมาทำเองแก้ขัดไปก่อน ข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงหูของซุป เขาถึงกับอุทานออกมาเบาๆ

“เอ๊ะ.. นี่มันโอกาสของเราหรือเปล่านะ?”

สถานการณ์แบบนี้มันเหมือนตอนเราเดินเล่นอยู่ริมชายหาด แล้วเจอขวดแก้วที่ถูกคลื่นซัดมาเกยตื้น ข้างในมีกระดาษเขียนข้อความลอยอยู่ เราจะเก็บมันขึ้นมาอ่านไหมหรือจะปล่อยให้คลื่นซัดมันกลับลงทะเลไป?

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของซุป เขาไม่ใช่มืออาชีพ แต่ก็พอมีฝีมือด้านการตัดต่ออยู่บ้าง จะลองเสี่ยงดูดีไหมนะ? ถ้าไม่ลอง.. ก็คงไม่มีโอกาส แต่ถ้าลองแล้วไม่สำเร็จล่ะ? จะกลายเป็นตัวตลกหรือเปล่านะ?

ในที่สุด.. ซุปก็ตัดสินใจ “เอาวะ! ลองดูสักตั้ง อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์ตัวเอง”

เขาส่งข้อความไปหา Jakk บอกเล่าความสามารถและความตั้งใจ พร้อมกับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

บางครั้ง.. โอกาสก็มาในรูปแบบของปัญหา คนที่มองเห็นโอกาสและกล้าที่จะคว้ามันไว้ ก็จะประสบความสำเร็จ

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันราวกับความฝัน Jakk ตอบรับและให้โอกาสซุปเข้ามาทดลองงาน ความกดดันถาโถมเข้ามาอย่างหนัก แต่ซุปก็พยายามอย่างเต็มที่ เขาใช้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนในการประเมินคุณค่าของโอกาสนี้ มันมีค่ามากกว่าความสบายใจในฐานะแฟนคลับ มากกว่าความกลัวที่จะล้มเหลว

“ความกลัว คือ กำแพงที่กั้นระหว่าง ตัวเรา กับ ความฝัน”

ซุปทุ่มเททุกอย่างให้กับงาน ไม่เคยเกี่ยงงอนหรือบ่นว่าเหนื่อย เพราะสำหรับเขา.. นี่คือโอกาสทอง มันคือการได้ทำงานที่รักร่วมกับทีมที่เขาชื่นชม

ทฤษฎีมูลค่าอัตวิสัยสอนให้เรารู้ว่า มูลค่าของสิ่งต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ราคา หรือ ต้นทุนการผลิต แต่มันขึ้นอยู่กับ การประเมินของแต่ละบุคคล

การตัดสินใจครั้งสำคัญของซุป นำพาเขาไปสู่เส้นทางใหม่ เส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสเช่นกัน เส้นทางที่เขาจะได้เรียนรู้ เติบโต และสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคม การตัดสินใจของซุปนั้นมันช่างสอดคล้องกับหลักการของเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนที่เน้นการกระทำของมนุษย์ การประเมินมูลค่า และการตัดสินใจ

image

วันเวลาแห่งการสร้างคุณค่า

แสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์ยังคงสาดส่องใบหน้าของซุป.. ดวงตาของเขาจดจ้องอยู่กับเส้นเวลา ตัดต่อ เรียบเรียง ประกอบร่าง วิดีโอคลิปแต่ละชิ้นให้สมบูรณ์ งานที่ได้รับมอบหมายไม่ใช่งานง่าย แต่ซุปไม่เคยปริปากบ่น เขาก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปอย่างเต็มที่

“นี่มันคือความฝันของเราเลยนะ จะมัวบ่นทำไมกัน” ซุปพึมพำกับตัวเอง

ซุปในตอนนี้ก็เหมือนนักปีนเขาที่กำลังไต่ขึ้นสู่ยอดเขา เส้นทางอาจจะลำบาก ขรุขระ และเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ทุกย่างก้าวก็คือ ความท้าทาย และความภาคภูมิใจ

แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนมากมาย แต่สำหรับซุป ความสุขที่ได้รับจากการทำงานมันมีค่ามากกว่าเงินทอง เขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมาย ได้ฝึกฝนทักษะ ได้สร้างสรรค์ผลงาน และที่สำคัญที่สุด คือ ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เขารัก

ในทางเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน เราเรียกสิ่งนี้ว่า “การประเมินมูลค่าโดยการใช้ประโยชน์ที่มีค่าน้อยที่สุด” (Valuation by the Least Valuable Use) หมายความว่า.. เมื่อคนเราต้องตัดสินใจ เราจะประเมินมูลค่าของสิ่งต่างๆ โดยพิจารณาจากประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการใช้งานนั้นๆ

ในกรณีของซุป.. การทำงานกับ Right Shift อาจไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวย แต่เขาได้รับประสบการณ์ ความรู้ และความสุข ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีมูลค่าสำหรับซุปมากกว่าเงินทอง

บางครั้ง.. คุณค่าของสิ่งต่างๆ ก็ไม่สามารถวัดได้ด้วยเงิน

นอกจากนี้.. การทำงานกับ Right Shift ยังเปิดโอกาสให้ซุปได้พบปะผู้คนมากมาย ทั้งคนดัง ผู้เชี่ยวชาญ และบุคคลที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นเหมือน “อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม” (Marginal Utility) ที่เติมเต็มความสุขในการทำงานของเขา

เหมือนเวลาเรากินข้าวจานแรกอาจจะอร่อยมากเพราะเราหิว แต่พอจานที่สอง จานที่สาม ความอร่อยก็เริ่มลดลง จนกระทั่งเราอิ่ม จนไม่อยากกินอีกแล้ว

ประสบการณ์ใหม่ๆ ก็เช่นกัน ครั้งแรกที่ได้เจออาจจะตื่นเต้น ประทับใจ แต่พอเจอบ่อยๆ ความตื่นเต้นก็จะลดลง แต่ความทรงจำและความรู้สึกดีๆ ยังคงอยู่

แนวคิดเรื่อง “อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม” ช่วยอธิบายว่า ทำไมคนเราถึงแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ แม้ว่าความตื่นเต้นจะลดลงตามกาลเวลา

ซุป ยังคงทำงานอย่างหนัก พัฒนาตัวเองและสร้างสรรค์ผลงาน เขาไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เขารู้ว่า.. เขาได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว เส้นทางที่เขาได้สร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคม

“ความสุข ไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ในระหว่างทาง”

image

บทเพลงแห่งการแบ่งปัน

เวลาผ่านไป.. ซุปสั่งสมประสบการณ์และความรู้มากขึ้น จากชายหนุ่มขี้อาย เขากลายเป็นนักตัดต่อมือฉมัง และที่สำคัญคือความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนที่สั่งสมมาตลอดมันเริ่มผลิดอกออกผล

ซุป อยากแบ่งปันความรู้ อยากให้คนอื่นๆ ได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของศาสตร์นี้เหมือนที่เขาเคยสัมผัส เขาปรึกษากับ Jakk และ อิสระ (น้องเล็กในทีม) ซึ่งมีความสนใจในเรื่องเดียวกันและต่างก็มีแรงปรารถนาที่จะจะเผยแพร่มันเช่นกัน

ซุป: “พี่ Jakk, อิส ผมอยากทำรายการเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน พี่คิดว่าไงครับ”

Jakk: “ไอเดียดีนะซุป แต่จะทำยังไงให้มันเข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ไม่เอาศัพท์แสงบ้าบอคอแตกนะ”

อิสระ: “พี่ซุปเล่าเรื่องเก่ง เราทำเป็นนิทานก็ได้นี่ครับ”

ซุป: “นิทานอิสซุป เหมือนที่ อ.พิริยะ ตั้งให้อะหรอ เออ.. ชื่อนี้ เข้าท่าดีนะ”

และแล้ว “นิทานอิสซุป” ก็ถือกำเนิดขึ้น รายการที่นำเสนอความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนในรูปแบบง่ายๆ สบายๆ เข้าใจง่าย เสียงนุ่มๆ ของซุป บวกกับลีลาการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของอิสระ ดึงดูดผู้ชมได้อย่างมากมาย

เหมือนแม่น้ำที่ไหลรินลงจากยอดเขา นำพาธาตุอาหารไปหล่อเลี้ยง ต้นไม้ พืชพันธุ์และสัตว์น้อยใหญ่ ความรู้ก็เช่นกัน เมื่อถูกแบ่งปันมันจะสร้างคุณค่าให้กับผู้รับและผู้ให้ ซุปมีความสุขที่ได้แบ่งปันความรู้ และยิ่งแบ่งปันเขาก็ยิ่งได้รับความสุขและคุณค่ามากขึ้น

นี่อาจคล้าย “กฎของอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มที่ลดลง” (Law of Diminishing Marginal Utility) เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น ความพึงพอใจที่ได้รับจากหน่วย (Unit) ที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ ลดลง

แต่.. กฎนี้ใช้ไม่ได้กับ “ความรู้” และ “การแบ่งปัน” ยิ่งเรามีความรู้มากขึ้น ยิ่งเราแบ่งปันมากขึ้น ความสุขและ คุณค่าที่ได้รับก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่ง ซุป ก็เข้าใจหลักการนี้จึงเลือกที่จะแบ่งปันความรู้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม และเติมเต็มความสุขให้กับตัวเอง

“นิทานอิสซุป” ไม่ได้เป็นเพียงแค่รายการ แต่เป็นพื้นที่ ที่ซุปได้แสดงออกถึงความรักและความหลงใหลในเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน เขาไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงหรือเงินทอง แต่ทำเพื่อแบ่งปันและสร้างคุณค่าให้กับสังคม

การให้ คือ การได้รับ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“นิทานอิสซุป” จึงเป็นมากกว่านิทานวิชาการ มันคือบทเพลงแห่งการแบ่งปัน บทเพลงที่ ซุป บรรจงแต่ง เพื่อส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจให้กับผู้คน

“เพราะ.. ความรู้ คือ แสงสว่าง ที่ช่วยขับไล่ความมืดมน”

image

ก้าวสู่แสงไฟ

นิทานอิสซุป กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ เส้นทางที่นำพา ซุป ก้าวออกจากเงามืดไปสู่แสงไฟ เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางแสงแดด อวดสีสันและกลิ่นหอม ดึงดูดผึ้งและผีเสื้อให้เข้ามาดอมดม

ซุป ไม่ใช่แค่นักเล่านิทาน แต่เขาได้ค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ในวงการบิตคอยน์ไทยอย่างช้าๆ ภายใต้ฉายา “ประธานซุป” เขาได้รับเชิญไปบรรยาย ออกรายการ และร่วมงานกับบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย

ความสำเร็จ มันก็มักจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบและความคาดหวัง เส้นทางของ ซุป ไม่ได้ถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องตัดสินใจครั้งสำคัญหลายครั้ง เช่น การทิ้งรายได้จากงานฟรีแลนซ์, การสละโอกาสทางการเมือง เพื่อทุ่มเทให้กับ Right Shift

“การตัดสินใจ” คือ กระบวนการเลือกทางเลือกหนึ่ง เหนือทางเลือกอื่นๆ โดยพิจารณาจาก การประเมินมูลค่าอัตวิสัย

ซุป เลือกที่จะเสียสละสิ่งที่คนอื่นมองว่ามีค่า เพื่อสิ่งที่เขามองว่ามีค่ามากกว่า นั่นคือ.. ความฝัน ความสุข และ การสร้างคุณค่าให้กับสังคม

“การเสียสละ คือ บทพิสูจน์ ของความมุ่งมั่น”

ตลอดเส้นทาง ซุป ได้รับการสนับสนุนและคำแนะนำ จาก Jakk Goodday ผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของเขา ตั้งแต่วันแรก ความสัมพันธ์ระหว่าง ซุป และ Jakk สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ “การแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน” (Mutually Beneficial Exchange) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน

Jakk เห็นคุณค่าในตัว ซุป จึงให้โอกาสและสนับสนุนเขา ในขณะที่ ซุป ก็ตอบแทนด้วยการทำงานอย่างเต็มที่ และ สร้างคุณค่าให้กับทีม Right Shift

การให้ และ การรับ นั้นเป็นวัฏจักรที่สร้างสรรค์ และ ยั่งยืน

เส้นทางของ “ซุป” จากแฟนคลับสู่ประธานซุป เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เรารู้ว่า.. ความฝัน ความมุ่งมั่น การเสียสละ และการสร้างคุณค่า คือ สิ่งสำคัญที่นำพาเราไปสู่ความสำเร็จ

และทุกคน ก็มีศักยภาพที่จะสร้างคุณค่า และประสบความสำเร็จ ในแบบของตัวเอง

คุณค่าที่แท้จริง

เรื่องราวของ “ซุป” ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวของความสำเร็จ แต่เป็นบทเรียนชีวิตที่สอนให้เราเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริง

เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาและผลิดอกออกผล ซุป เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นนั้น เขาเติบโต จากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่หลงใหลในความรู้ ด้วยการหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย คือความมุ่งมั่น ความอดทน และ การเสียสละ จนกระทั่งเติบใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา คือการแบ่งปันความรู้และผลิดอกออกผล คือความสำเร็จและการเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น

หลักการของ ทฤษฎีมูลค่าอัตวิสัย (Subjective value) สะท้อนให้เห็นในทุกๆ การตัดสินใจของ ซุป

การประเมินมูลค่า >> ซุป ประเมินคุณค่าของโอกาส ประสบการณ์ และความสุข มากกว่าเงินทองและชื่อเสียง การเสียสละ >> ซุป ยอมสละรายได้และโอกาสทางการเมือง เพื่อหันมาทำในสิ่งที่เขารักและเชื่อมั่น ความอดทน >> ซุป ทำงานหนัก พัฒนาตัวเองและอดทนรอคอย จนกระทั่งประสบความสำเร็จ การสร้างคุณค่า >> ซุป แบ่งปันความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับผู้อื่น

เรื่องราวของ ซุป สะท้อนให้เห็นถึง “ปฏิทรรศน์น้ำ-เพชร” (Water-Diamond Paradox) ซึ่งเป็นแนวคิดใน เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน ที่อธิบายว่า.. ทำไมสิ่งที่จำเป็นอย่าง น้ำ ถึงมีราคาถูก ในขณะที่สิ่งฟุ่มเฟือยอย่าง เพชร ถึงมีราคาแพง

ในชีวิตจริง.. สิ่งที่สำคัญสำหรับคนหนึ่ง อาจไม่ได้สลักสำคัญสำหรับอีกคน และมูลค่าของสิ่งต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับ บริบทและความต้องการของแต่ละบุคคล

ความสุข และ ความสำเร็จ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ละคนต้องค้นหาและสร้างมันขึ้นมาเอง

ซุป ค้นพบ “คุณค่าที่แท้จริง” ของชีวิต เขาไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย หรือมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เขามีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่รักและสร้างคุณค่าให้กับสังคม

“จงค้นหาคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต และ ใช้ชีวิตให้มีความหมาย”

“คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน”

image

11 พฤษภาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของ ซุป บทความนี้ผมจึงอุทิศน์ให้กับเขา และขอให้เจ้าตัวมีความสุขในการมุ่งมั่นสร้างคุณค่าในแบบของตัวเองสืบต่อไป ขอให้ทุกคนได้ร่วมอวยพรและให้กำลังใจเพื่อนคนเก่งของเราคนนี้กันด้วยครับ

ภาคผนวก

Subjective Value มองคุณค่าผ่านเลนส์ของตัวเอง

ทฤษฎีมูลค่าอัตวิสัย (Subjective Value) เปรียบเสมือนแว่นตาพิเศษที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมคนเราถึงมองเห็น “คุณค่า” ของสิ่งต่างๆ แตกต่างกัน

ลองนึกภาพว่าเรากำลังดูภาพวาด abstract บางคนอาจมองว่ามันสวยงาม มีเอกลักษณ์ ในขณะที่บางคนอาจมองว่ามันดูยุ่งเหยิง ไม่มีความหมาย

ทฤษฎีนี้บอกเราว่า “คุณค่า” ไม่ได้ติดมากับสิ่งของ หรือถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอก เช่น ต้นทุนการผลิตหรือแรงงานที่ใช้ แต่ “คุณค่า” เกิดขึ้นจากการประเมินของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความชอบ ประสบการณ์ และสถานการณ์ของแต่ละคน

นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนเชื่อว่า “มนุษย์” เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการตัดสินใจของมนุษย์นั้นขับเคลื่อนด้วย “มูลค่าอัตวิสัย” ที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ

คนที่กำลังหิวโหย อาจมองว่า “ข้าวเปล่า 1 จาน” มีค่ามาก แต่สำหรับคนที่เพิ่งกินอิ่มมา ข้าวเปล่าจานนั้นอาจไม่มีค่าเลย

นักสะสมงานศิลปะ อาจยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อภาพวาด แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจศิลปะ ภาพวาดนั้นอาจดูไร้ค่า

นักเรียนที่กำลังเตรียมสอบ อาจมองว่า “เวลา 1 ชั่วโมง” มีค่ามาก แต่สำหรับคนที่กำลังว่าง เวลา 1 ชั่วโมงอาจไม่มีค่าอะไรเลย

การเข้าใจ “ทฤษฎีมูลค่าอัตวิสัย” ช่วยให้เรายอมรับความแตกต่างและเคารพการตัดสินใจของผู้อื่น เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับเราอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น และที่สำคัญ “มูลค่า” ยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์

โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า ที่เมื่อก่อนอาจมีมูลค่ามาก แต่ตอนนี้อาจกลายเป็นของสะสมหรือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์

บ้านหลังเก่า เมื่อก่อนอาจเคยเป็นบ้านในฝัน แต่ตอนนี้อาจทรุดโทรม จนต้องซ่อมแซม

เรื่องราวของ “ซุป” สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของ “มูลค่า” เขาเคยให้คุณค่ากับความสบายใจในฐานะแฟนคลับ แต่เมื่อมีโอกาสเขาก็เปลี่ยนมาให้คุณค่ากับการทำงาน การสร้างคุณค่า และการแบ่งปันความรู้

“ทฤษฎีมูลค่าอัตวิสัย” จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจการตัดสินใจ พฤติกรรม และการกระทำของมนุษย์ ทั้งในชีวิตประจำวันและในระบบเศรษฐกิจ

เลือกสิ่งที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น

“การประเมินมูลค่าโดยการใช้ประโยชน์ที่มีค่าน้อยที่สุด” (Valuation by the Least Valuable Use) ฟังดูอาจจะซับซ้อนทำความเข้าใจได้ยาก แต่จริงๆแล้วมันคือหลักการง่ายๆ ที่เราใช้ในการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน

เวลาเราเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้ามากมายหลากหลายแบบ เราจะเลือกซื้อ เสื้อผ้าตัวไหน?

เราคงไม่เลือกซื้อเสื้อผ้าทุกตัวในร้าน แต่จะเลือกเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของเรามากที่สุด ณ เวลานั้น เช่น เสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงาน เสื้อผ้าที่ใส่ไปเที่ยว หรือเสื้อผ้าที่ใส่ไปออกกำลังกาย

ทฤษฎีนี้อธิบายว่า.. เมื่อคนเรามีสินค้าหรือบริการหลายอย่าง เราจะเลือกใช้สินค้าหรือ บริการที่ตอบสนองต่อความต้องการที่เร่งด่วนที่สุดก่อน

ยกตัวอย่างเช่น..

เราอาจจะมีการแบ่งเงินเป็นหลายก้อน แต่ก้อนที่เราจะใช้ก่อน คือก้อนที่เราต้องการใช้ มากที่สุด ณ เวลานั้น เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทางหรือค่าเช่าบ้าน การตัดสินใจของคนเรา จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ ณ เวลานั้น

ดังนั้น “การประเมินมูลค่าโดยการใช้ประโยชน์ที่มีค่าน้อยที่สุด” จึงเป็นหลักการที่ช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเรา ณ เวลานั้น

ซุป ก็ใช้หลักการนี้ในการตัดสินใจ เช่น การเลือกทำงานกับ Right Shift แม้ว่า จะไม่ได้รับ ผลตอบแทนมากมายนัก แต่เขาได้รับความสุขและประสบการณ์ ซึ่งมีค่ามากกว่าสำหรับเขา

อิ่มเอม…แต่ไม่เท่าเดิม

“กฎของอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มที่ลดลง” (Law of Diminishing Marginal Utility) เป็นกฎพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายถึงความรู้สึก “อิ่มเอม” ที่ลดลง เมื่อเราบริโภคสินค้าหรือบริการมากขึ้น

ลองนึกภาพว่าเรากำลังกินพิซซ่า ชิ้นแรกอร่อยมาก ชิ้นที่สองก็ยังอร่อยอยู่ แต่พอชิ้นที่สาม ชิ้นที่สี่ ความอร่อยก็เริ่มลดลง จนกระทั่งเราอิ่ม และไม่อยากกินอีกแล้ว

นั่นเป็นเพราะ “อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม” (Marginal Utility) หรือความพึงพอใจที่ได้รับ จากการบริโภค สินค้าหรือบริการ จากหน่วย (Unit) เพิ่มเติมนั้นลดลง

กฎนี้อธิบายว่า ยิ่งเราบริโภคสินค้าหรือบริการมากขึ้น ความพึงพอใจที่ได้รับจากหน่วย เพิ่มเติมจะลดลง

ยกตัวอย่างเช่น..

เสื้อผ้าตัวใหม่อาจจะทำให้เรารู้สึกดี ตื่นเต้น แต่พอมีเสื้อผ้าเยอะๆ ความตื่นเต้นก็จะ ลดลง

เงินก้อนแรกที่เราหามาได้ อาจจะมีค่ามาก แต่พอมั่งคั่งเงินก้อนต่อๆ ไปก็จะมีค่าน้อยลง

กฎนี้สอนให้เรารู้จักพอเพียง และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี

อย่างไรก็ตาม “กฎของอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มที่ลดลง” มีข้อยกเว้น เช่น ความรู้ และ การแบ่งปัน ตามที่ได้กล่าวถึงในบทความ

win-win situation

“การแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน” (Mutually Beneficial Exchange) เป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ และเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเรา “ค้าขาย” กัน

เวลาเราไปตลาด เราเอาเงินไปแลกกับอาหาร แม่ค้าได้เงิน เราก็ได้อาหาร ต่างคนต่างได้ประโยชน์ การแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ทั้งสองฝ่าย เชื่อว่า พวกเขาจะ “ได้” มากกว่า “เสีย”

นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน เชื่อว่า การแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ร่วมกันเกิดขึ้นได้ เพราะคนเรามี “มูลค่าอัตวิสัย” ที่แตกต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่น..

ชาวนามีข้าวแต่ไม่มีปลา ชาวประมงมีปลาแต่ไม่มีข้าว ทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนสินค้ากัน เพื่อ เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง

นายจ้างต้องการคนทำงาน ลูกจ้างต้องการรายได้ ทั้งสองจึงทำสัญญาจ้าง เพื่อแลกเปลี่ยน แรงงานกับเงินเดือน

การแลกเปลี่ยนช่วยให้คนเราได้สินค้าและบริการที่หลากหลาย มากกว่าที่จะผลิตเอง ทั้งหมด นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและนวัตกรรม เพราะผู้ผลิตต้องแข่งขันกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

“การค้า คือ การสร้างสรรค์ ความมั่งคั่ง ร่วมกัน”

แกะปริศนา “ปฏิทรรศน์น้ำ-เพชร”

มาถึงตรงนี้.. หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม “น้ำ” ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ถึงมีราคาถูกหรือบางที่ก็ฟรี ในขณะที่ “เพชร” ซึ่งเป็นแค่เครื่องประดับกลับมีราคาแพงหูฉี่

เหมือนเวลาเราไปร้านอาหาร เราสั่ง “ข้าวผัด” จานใหญ่ราคา 50 บาท แต่ “ไข่ดาว” ฟองเล็กๆ ราคา 10 บาท ทำไมข้าวผัดถึงถูกกว่า ไข่ดาว ทั้งที่ ข้าวผัดมี ข้าว ผัก เนื้อสัตว์ เครื่องปรุง ตั้งหลายอย่าง

คำตอบอยู่ที่ “ความขาดแคลน” (Scarcity) และ “อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม” (Marginal Utility) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน

น้ำ มีอยู่มากมาย ในขณะที่ เพชร นั้นหายาก น้ำ แก้วแรกอาจจะช่วยชีวิตเราได้ แต่ น้ำ แก้วที่ 10 อาจจะทำให้เราจุก

“อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม” หมายถึง ความพึงพอใจที่ได้รับจากการบริโภคสินค้าหรือ บริการในหน่วย (Unit) เพิ่มเติม (ในจำนวนมากขึ้น)

เมื่อน้ำมีอยู่มาก เราจึงประเมินมูลค่าของน้ำแก้วที่ 10 ต่ำ เพราะมันไม่ได้ตอบสนองความต้องการที่เร่งด่วน แต่เพชรที่หายาก ทำให้แม้แต่เพชรเม็ดเล็กๆ ก็ยังมีมูลค่าสูง

คุณค่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นหรือความฟุ่มเฟือย แต่ขึ้นอยู่กับความขาดแคลนและ การประเมินมูลค่าของแต่ละบุคคล

ดังนั้น ปฏิทรรศน์น้ำ-เพชร (Water-Diamond Paradox) จึงไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เป็น การสะท้อนให้เห็นถึงหลักการพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ มูลค่า เป็นเรื่องส่วนบุคคล และขึ้นอยู่กับบริบท

เรื่องราวของ “ซุป” ก็เช่นกัน.. เขาประเมินมูลค่าของ ความรู้ ความสุข และการสร้างคุณค่า สูงกว่าเงินทองและชื่อเสียง

เขาเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่คนอื่นอาจมองว่า “ขาดแคลน” คือ เส้นทางที่ไม่ได้เต็มไปด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วย ความสุข ความหมาย และคุณค่า

“ความสุข ที่แท้จริง หาซื้อไม่ได้ ด้วยเงิน”

Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85