Retelling "The Bitcoin Block Size Wars" ตอนที่ 1
จุดเริ่มต้นของสงครามบล็อกไซส์
ลองนึกภาพร้านอาหารเล็ก ๆ ที่มีแค่สิบโต๊ะ แต่ลูกค้ากลับล้นหลามจนพนักงานวิ่งวุ่นตลอดวัน เราอาจเห็นภาพชัดว่าปัญหาต้องตามมาแน่ ๆ ถ้าจำนวนโต๊ะไม่พอกับลูกค้าที่ต่อแถวกันยาวเหยียด
บางคนหัวเสียจนยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรีบได้โต๊ะนั่ง ในขณะที่อีกหลายคนก็ยืนรอจนหมดอารมณ์กิน สุดท้ายก็ต้องถามกันว่า
“จะทำยังไงดี ถึงจะไม่เสียเอกลักษณ์ร้าน และไม่ปล่อยให้ลูกค้าต้องหงุดหงิดมากมายขนาดนี้?”
บรรยากาศตรงนี้เปรียบได้กับสภาพของบิตคอยน์ช่วงราวปี 2015 ซึ่งเดิมทีเคยรองรับธุรกรรมได้สบาย ๆ แต่จู่ ๆ ก็ต้องแบกรับภาระธุรกรรมมหาศาลจน “คิวยาวเป็นหางว่าว”
ทั้งหมดนี้มาจากข้อกำหนดตั้งต้นว่า แต่ละบล็อกมีขนาดเพียง 1 เมกะไบต์ และบล็อกจะถูกสร้างทุก ๆ ประมาณ 10 นาที ทีนี้พอผู้ใช้หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด พื้นที่เล็ก ๆ ที่ว่าเลยเอาไม่อยู่ ใครอยากให้ธุรกรรมติดบล็อกก่อนก็ควักกระเป๋าจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม ถ้าไม่จ่าย ธุรกรรมอาจรอข้ามวันข้ามคืน แถมยังเสี่ยงค้างเติ่งไปเลย
ความไม่พอใจจึงปะทุขึ้นเป็นเสียงดังลั่นว่า
“แก้ปัญหานี้ยังไงดี จะขยายบล็อกกันเลยไหม หรือปรับซอฟต์แวร์ให้ฉลาดขึ้นโดยไม่เพิ่มขนาดจริง ๆ?”
เมื่อสองแนวคิดนี้ตั้งฉากกัน คนในแวดวงบิตคอยน์จึงแตกเป็นสองฝั่งหลัก ๆ
ฝั่งแรกเสนอ “เพิ่ม Blocksize” โดยบอกว่าต้องแก้ให้จบตรงจุด เหมือนเพิ่มโต๊ะเข้าไปในร้าน จะได้รองรับลูกค้าได้มากขึ้น เพราะเชื่อว่า Bitcoin ต้องพร้อมสำหรับการใช้งานทั่วโลก การขยายจาก 1 MB เป็น 2 MB หรือ 4 MB หรือมากกว่านั้น จึงตอบโจทย์ผู้ใช้หลากหลายตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงธุรกิจใหญ่
แกนนำฝ่ายนี้คือ Roger Ver หรือ “Bitcoin Jesus” ที่ผลักดันแนวคิดนี้สุดตัวร่วมกับทีมขุดอย่าง Bitmain ซึ่งไม่อยากเห็นใครต้องยืนรอนานหรือจ่ายแพงเวอร์
อีกฝ่ายคือทีมพัฒนา “Bitcoin Core” ที่มี Greg Maxwell และ Peter Wuille เป็นหัวขบวน พวกเขายืนยันว่าถ้ายิ่งเพิ่มขนาดบล็อกให้ใหญ่โต ก็จะยิ่งเก็บข้อมูลมากจนโหนดรายเล็ก ๆ ต้องใช้ทรัพยากรสูงขึ้น สุดท้ายอาจเหลือแค่รายใหญ่ที่รันโหนดไหว แล้ว Decentralization ก็จะถูกบั่นทอน
ฝ่ายบิตคอยน์คอร์จึงเสนอทางแก้แบบ Segregated Witness (SegWit) ซึ่งเปรียบได้กับการจัดโต๊ะใหม่ให้แยบยล—ย้ายข้อมูลลายเซ็นธุรกรรมไปไว้นอกบล็อกหลัก ทำให้ในบล็อกมีพื้นที่ใส่ธุรกรรมได้อีกเยอะขึ้นโดยไม่ต้องทุบผนังขยายร้าน
ความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่ในเว็บบอร์ดหรือฟอรัม แต่ลุกลามไปจนถึงเวทีระดับโลกอย่าง Consensus Conference ปี 2016 และ 2017 ฝ่ายหนุนเพิ่มขนาดบล็อกก็โหวกเหวกว่า “นี่แหละถูกจุดที่สุด”
ส่วนทีมบิตคอยน์คอร์ก็โต้กลับว่า “ขืนบล็อกใหญ่ไป ระบบก็เสี่ยงรวมศูนย์ เพราะใครจะมีทุนซื้ออุปกรณ์แพง ๆ และเน็ตแรง ๆ ตลอด” จึงไม่ใช่แค่ถกเถียงทางเทคนิค แต่สะท้อนมุมมองปรัชญาด้วยว่าบิตคอยน์ควรเป็นระบบ “กระจาย” หรือ “รวมศูนย์” กันแน่
ยิ่งถกก็ยิ่งมองไม่เห็นทางออก.. บ้างก็เสนอให้ Fork แยกเครือข่ายไปเลย เหมือนเปิดสาขาร้านใหม่ ใครไม่โอเคแนวไหนก็ไปอีกสาขาหนึ่ง
Roger Ver กับสายขุดยักษ์ใหญ่ก็บอกว่าถ้าไม่เพิ่ม Blocksize ต่อไปค่าธรรมเนียมสูง และคนจะเข้าถึงยากขึ้น เหมือนร้านที่โต๊ะแน่นจนคนล้น
ฝั่งบิตคอยน์คอร์ย้ำว่าจะพัฒนา SegWit กับ Lightning Network เพื่อขนธุรกรรมส่วนใหญ่ไปทำงานนอกบล็อกหลัก แม้อาจต้องรอให้เทคโนโลยีสุกงอม แต่คงไม่กระทบโหนดรายเล็กมากนัก
ในโลกออนไลน์ สงครามโซเชียลก็เริ่มเดือด ตั้งกระทู้กันทุกวัน บางคนต่อว่านักขุดว่าเอากำไรเป็นหลัก บ้างบอกทีมบิตคอยน์คอร์ไม่เข้าใจปัญหาฝั่งธุรกิจจนชาวเน็ตแบ่งเป็นหลายค่าย คำถามใหญ่จึงดังขึ้น
*“ตกลงบิตคอยน์จะเป็น ‘อาวุธทางการเงิน’ ของคนหมู่มากได้จริงเหรอ ถ้าไม่มีพื้นที่ในบล็อกมากพอ?”*
หรือ..
*“ถ้าผลุนผลันขยายบล็อกไปเรื่อย ๆ จนเหลือแต่รายใหญ่ที่รันโหนดได้ แบบนั้นยังถือว่าเป็น บิตคอยน์ในอุดมการณ์ของ Satoshi Nakamoto ไหม?”*
พอหลายฝ่ายพยายามประนีประนอมกันหลายเวที สุดท้ายก็ไม่ประสบผล Roger Ver มั่นใจว่าต้องเพิ่ม Blocksize เท่านั้นจึงพาบิตคอยน์รอด
ส่วนทีม Core ไม่ยอมเปิดทางง่าย ๆ เพราะกลัวระบบเสียหลักการกระจายอำนาจไป
ด้วยเหตุผลทั้งคู่จึงทำให้สงครามนี้ยืดเยื้อ กลุ่มขุดและพัฒนาในแวดวงเริ่มจับตากันเครียด บ้างเสนอทางผสม เช่น เพิ่ม Blocksize นิดหน่อย แล้วเปิด SegWit ควบคู่ บ้างเสนอว่าให้เลื่อนตัดสินใจออกไปก่อนก็ยังดี
ไม่มีใครรู้ว่าจะลงเอยอย่างไร.. และหากเรื่องนี้พลั้งพลาดบิตคอยน์อาจแตกเป็นสองสายจนผู้ใช้หรือนักลงทุนสับสน
สถานการณ์ช่วงแรกเหมือน “ไฟที่กำลังคุ” เพราะยังไม่ปะทุเต็มที่แต่ก็แรงพอจะยกครัวไปตลอดทั้งวงการ คนพัฒนาก็ทำ SegWit และ Lightning Network ไป ฝ่ายหนุน Blocksize ก็เดินสายผลักดันให้เต็มที่ ถึงขั้นยอมเสี่ยง Fork ถ้าจำเป็นจริง ๆ
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดที่ไม่ใช่แค่ “ขนาดบล็อก” แต่หมายถึงอนาคตของบิตคอยน์ที่อาจพลิกโฉมไปตลอดกาล..
คิดง่าย ๆ ก็เหมือนร้านอาหารเล็ก ๆ ที่กำลังจะก้าวสู่ภัตตาคารใหญ่ระดับท็อป เมื่อแขกเหรื่อมาไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่าเสียงเรียกร้องให้ทุบกำแพงขยายร้านย่อมมีบ้าง แต่บางคนอาจบอก “เปลี่ยนวิธีจัดโต๊ะแทนได้ไหม?” ทุกแนวทางต่างมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง
ที่สำคัญคือ บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์อันดับหนึ่งของโลกคริปโตฯ หากก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย อาจสะเทือนไปทั่วโลกด้วย
เนื้อหาถัดไปผมจะชวนมาดูว่า ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนสงคราม Blocksize ครั้งนี้?
พวกเขามีแรงจูงใจอะไรกันบ้าง? และจะนำพาบิตคอยน์ไปในทิศทางใด?
ขอทิ้งท้ายส่วนนี้ให้คิดเล่น ๆ
“ถ้าเพิ่ม Blocksize สุด ๆ แต่โหนดรายเล็กหายหมด สุดท้ายยังเรียกว่ากระจายอำนาจอยู่ไหม?”
“หรือจะรักษาบล็อกขนาดเล็กไว้อย่างเดิม แล้วปรับเทคโนโลยีเสริมให้ฉลาดขึ้นดีกว่า?”
ทั้งหมดที่เล่ามายังเป็นแค่บทโหมโรงนะครับ สงครามนี้เพิ่งปะทุเท่านั้น ยังมีอะไรเข้มข้นอีกมาก ติดตามต่อว่าฝั่งไหนจะงัดไม้เด็ดอะไรออกมาเพื่อรักษา “ร้านอาหาร” แห่งนี้ให้เดินหน้าต่อไปได้โดยไม่เสียตัวตน..
ใครคือผู้ขับเคลื่อนสงคราม Blocksize?
พาร์ทที่แล้ว เราได้เห็นภาพรวมของปัญหาที่ดูเหมือนจะเล็กนิดเดียวอย่าง “บล็อกใหญ่หรือเล็ก?” แต่กลับแผ่ขยายจนกลายเป็นมหากาพย์ความขัดแย้งในชุมชนบิตคอยน์ เสมือนเดิมพันอนาคตของสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งบนโลกใบนี้
พอตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะก้าวลึกลงไปในเบื้องหลังของสงครามอันร้อนแรงนี้ ใครอยู่ในเงามืด? ใครลากสายอยู่หลังเวที? และใครโดดขึ้นมาเดินลุยบนสนามเปิดเพื่อต่อสู้แย่งชิงฉันทามติของเครือข่าย?
มีคนชอบเปรียบเทียบว่าศึก Blocksize ครั้งนี้คือ “สนามรบดิจิทัล” ซึ่งไม่ได้ยิงกระสุนห้ำหั่นแต่ใช้โค้ดแทน ขับเคลื่อนด้วย “Hashrate” ที่เปรียบเสมือนอาวุธหนัก ฝ่ายไหนถือกำลังขุดสูงกว่าก็เหมือนมีกองทัพเบิ้ม ๆ อยู่ในมือ
ด้านนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปก็คล้ายประชากรพลเรือนที่บางทีก็ต้องยอมรับชะตา แต่บางทีก็รวมตัวประท้วงสร้างพลังของตัวเองให้โลกได้เห็น ทุกฝีก้าวมีคนจ้องดูว่าจะเกิด “Hard Fork” หรือ “Soft Fork” เมื่อไหร่ และกฎใดจะถูกประกาศเป็น “กฎใหม่” ให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
ในมุมของคนอยาก “เพิ่ม Blocksize” เห็นชื่อของ Roger Ver โผล่โดดเด่นสุด ๆ เขาคือ “Bitcoin Jesus” แห่งยุคบุกเบิก ที่ครั้งหนึ่งทุ่มทุนโปรโมตบิตคอยน์แบบไม่กลัวเจ๊ง ด้วยความเชื่อว่าบิตคอยน์ควรเป็น “เงินสดดิจิทัล” ลื่นไหลจ่ายคล่อง สลัดค่าธรรมเนียมแพง ๆ ทิ้งไปให้หมด
ในสายตาเขา การคงบล็อกเล็กแค่ 1 MB ยิ่งทำให้คนใช้แล้วปวดหัว ค่าธรรมเนียมสูงปรี๊ด ธุรกรรมอืดอาดเกินจะทน เลยต้องขยายขนาดบล็อกแบบจัดเต็ม เหมือนขยายถนนให้รถวิ่งง่าย ไม่งั้นก็ต้องมุดเข้าอุโมงค์แคบ ๆ จอดติดกันยาว
และ “Bitmain” บริษัทเครื่องขุดเบอร์ใหญ่สุดในโลกก็เข้ามาเสริมพลังแบบเต็มขั้น ขับเคลื่อนโดย Jihan Wu ที่เล็งเห็นว่าพอยิ่งขยายบล็อก ธุรกรรมก็จะยิ่งทะลัก ค่าธรรมเนียมก็จะเพิ่มขึ้น นักขุดจะได้เงินดี สร้างแรงดึงดูดให้คนหันมาหาบิตคอยน์มากขึ้นไปอีก
Bitmain ถือ Hashrate มหาศาล จึงไม่ต่างจากมีทัพใหญ่พร้อมยกพลบุก เพื่อดันแนวคิด “Fork” ได้ตลอดเวลา ถ้าฝั่งเพิ่ม Blocksize อยากจะเล่นเกมสายไหนก็เดินได้เลย
อีกฟากสนาม คือทีม “Bitcoin Core” ถือเป็นแกนกลางที่คุมซอฟต์แวร์หลัก
นำโดย **Greg Maxwell**, Peter Wuille และ Wladimir van der Laan
พวกเขาห่วงว่าถ้าบล็อกใหญ่ขึ้นมาก คงจะมีแค่นายทุนใหญ่เท่านั้นที่รันโหนดไหว ประชาชนตัวเล็ก ๆ หรือคนไม่มีทรัพยากรเยอะก็ยิ่งถูกกันออกจากเครือข่าย กลายเป็นระบบกึ่งรวมศูนย์ ซึ่งสวนกับหลักการเดิมที่ Satoshi Nakamoto เคยวางไว้
พวกเขาจึงเสนอ Segregated Witness (SegWit) เพื่อตัดข้อมูลลายเซ็น (Witness Data) ทิ้งไปนอกบล็อก ทำให้มีพื้นที่รองรับธุรกรรมได้เยอะขึ้นแบบไม่ต้องขยาย “เลนหลัก” และจะต่อยอดด้วย Lightning Network เพื่อยกธุรกรรมส่วนใหญ่ไปอยู่นอกบล็อกอีกชั้น
ฝั่งนักพัฒนาเหล่านี้ไม่ได้สู้อย่างโดดเดี่ยว แต่มีผู้ใช้รวมพลังกันในนาม UASF (User-Activated Soft Fork) มองว่า
“ใครว่าขุดเยอะแล้วสั่งการได้หมด? ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไปก็ออกแบบกติกาได้เหมือนกัน?”
พวกเขาบอกเลยว่า “ถ้าไม่หนุน SegWit พวกฉันไม่เอาด้วยนะ”
การเคลื่อนไหวแบบนี้สร้างแรงกดดันให้นักขุดต้องรีบตามน้ำ ไม่งั้นเสี่ยงโดนผู้ใช้ปฏิเสธบล็อกกันถ้วนหน้า
ปี 2016-2017 กลายเป็นช่วงร้อนระอุสุด ๆ Roger Ver ลุกขึ้นพูดเมื่อไหร่ มักกล่าวหาทีม Core ว่าปิดประตูโอกาสทองของบิตคอยน์
ส่วนทีม Core ก็ตีโต้กลับว่า “ถ้าเพิ่มบล็อกเร็วไป มีแต่จะทำให้บิ๊กทุนไม่กี่เจ้าเข้ามาผูกขาด!”
พอยิ่งเถียงกันในงานใหญ่ เช่น Consensus Conference 2017 ประเด็นก็ยิ่งเดือด บางฝ่ายอยาก “Fork” แตกสายไปเลย บางฝ่ายยังคอยประนีประนอม แต่ก็ไม่มีใครลงรอยกันได้
Roger Ver และ Bitmain เร่งเครื่องดัน Hard Fork
ทีม Core ไม่ยอมถอย ยืนกราน SegWit ก่อน แล้วใช้ Lightning Network ปิดเกม
ผลคือ…
ทุกคนเริ่มกลัวว่า “Bitcoin จะแตกเป็นสองสายจริง ๆ หรือ?”
จะเป็นบล็อกใหญ่ หรือจะอยู่ 1 MB พร้อม SegWit?
กลางปี 2017 สงครามนี้จึงคลอด “Bitcoin Cash” เครือข่ายใหม่ที่กลุ่ม Roger Ver ผลักดัน บอกว่านี่คือ “Bitcoin ตัวจริง” ที่ค่าธรรมเนียมถูกกว่า ธุรกรรมไวกว่า รองรับคนจำนวนมากได้
ในขณะเดียวกัน เครือข่ายหลัก BTC ก็เปิดใช้ SegWit ไป พร้อมมุ่งหน้าเปิดทาง Lightning Network ทำให้ครึ่งหนึ่งของชุมชนยังเชื่อมั่นว่าการรักษาบล็อกเล็ก คือหัวใจสำคัญของกระจายอำนาจ
Blocksize War ครั้งนี้ เกินกว่าจะเรียกว่า “ดีเบตเชิงเทคนิค”
มันคล้ายการปะทะอุดมการณ์ของ “กระจายอำนาจอย่างเคร่งครัด” ปะทะ “ขยายบล็อกให้ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน”
ทั้งสองฝ่ายต่างยิงวาทะกันเดือดในโซเชียลมีเดีย คนฝ่ายหนึ่งบอกอีกฝ่าย “ล้าหลังไม่รู้จักปรับตัว” อีกฝ่ายก็ยันกลับว่า “คิดแค่กำไรระยะสั้น ไม่รักษาอัตลักษณ์บิตคอยน์” บน Reddit, Twitter, ฟอรัมต่าง ๆ เหล่าผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมทางต้องแยกค่ายกันเพราะมองต่างว่าควรเพิ่มบล็อกหรือเปล่า
ที่สุดแล้ว…
เมื่อสองอุดมการณ์สวนทางกันระดับราก แทบไม่มีพื้นที่ประนีประนอม บ้างเชื่อว่าถ้าไม่เพิ่มบล็อกบิตคอยน์จะใช้งานลำบากเกิน บ้างยึดมั่นว่าถ้าบล็อกใหญ่มากโหนดเล็ก ๆ ก็จะหายไปหมด ระบบจะตกในมือไม่กี่คน.. ซึ่งขัดเจตนารมณ์ตั้งต้นของ Satoshi แบบสุด ๆ
ผลลัพธ์จึงลงเอยด้วยการเกิด “Bitcoin Cash” (BCH) แยกเครือข่าย และเปิดศึกโฆษณาว่า “ตนต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดแนวคิด Satoshi ของจริง”
เมื่อ Bitcoin Cash ถือกำเนิดพร้อมขนาดบล็อกใหญ่ “มหาศึก” ครั้งนี้ก็ไม่ได้จบลง แต่เปลี่ยนหน้าฉากไปสู่การตลาดและความชอบธรรม
ใคร ๆ ก็ตั้งคำถามว่า “Bitcoin Cash ต่างจาก Bitcoin ยังไง?” หรือ “ใครสืบทอดเจตนารมณ์ Satoshi อย่างแท้จริงกันแน่?”
นักพัฒนา ฝั่ง BTC ยังเหนียวแน่นว่ารักษาเครือข่ายให้เบา ๆ แล้วใช้ทริคอย่าง SegWit, Lightning Network เสริม คือทางออกป้องกันการรวมศูนย์
ฝ่าย BCH ก็บอกว่าบล็อกใหญ่เลยดีกว่า ทุกคนจะได้เทรดกันเพลินโดยไม่ต้องแย่งพื้นที่
ในภาพใหญ่.. สงครามครั้งนี้ส่งคลื่นกระเพื่อมไปทั่วโลกคริปโตฯ หลายคนกลัวว่าถ้ายังแยกแตกกันแบบนี้ต่อ ราคาจะผันผวนจนคนขยาด แต่ก็มีอีกฝ่ายที่มองว่า
“ดีสิ มีการแข่งขันแล้วเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ”
เพราะในโลกโอเพนซอร์ส ไม่มีใครหยุดการแยกตัวได้ถ้าคนบางกลุ่มอยากลองแนวทางใหม่
คำถามสำคัญคือ..
“ใครขับเคลื่อนสงคราม Blocksize?”
คำตอบก็หนีไม่พ้น Roger Ver, Bitmain และทีม Bitcoin Core รวมถึงกลุ่ม UASF
พวกเขาต่างมีพลังในมิติต่าง ๆ
Roger Ver มีแรงสนับสนุนจากนักขุดสายทุนจัด Bitmain มีกองทัพ Hashrate มหาศาล ทีม Bitcoin Core คุมซอฟต์แวร์ และ UASF ก็มีอำนาจ ‘No Node, No Vote’ ที่ปัดบล็อกไม่พอใจทิ้งได้หมด
นี่ไม่ใช่การรบระหว่าง “อำนาจกับผู้อ่อนแอ” แต่เป็นสมรภูมิที่ทุกขั้วมี “พลัง” อยู่คนละแบบ ทำให้การประนีประนอมเป็นเพียงอุดมคติ
จนที่สุดจึงแตกเป็นสองสาย เหมือนเป็นสปิริตของโอเพนซอร์สที่แค่ Fork ก็พาเดินไปคนละทิศ ใครอยากกดเครื่องขุดก็ขุด ใครอยากตามซอฟต์แวร์ Core ก็จัดไป
นึกภาพอนาคตสิครับ.. ถ้ามีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาอีก จะมีสงคราม “Blocksize 2.0” หรือเปล่า? ถ้าเจอเงื่อนไขใหญ่ ๆ ในการเปลี่ยนระบบ ย่อมต้องเข้าสู่วงจรดีเบตเดือดปุดเหมือนเคย
เพราะบิตคอยน์เป็นระบบไร้ผู้นำสูงสุด ทุกฝ่ายจึงมีสิทธิชูมือคัดค้านหรือสนับสนุนอย่างอิสระ
ฉากในเนื้อหาส่วนนี้คือด้านหน้าฉากของสงคราม Blocksize และเหล่าคนขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดการแตกแยกครั้งประวัติศาสตร์ในโลกบิตคอยน์ ส่วนต่อไปเราจะได้เห็นเทคนิคล้ำ ๆ และจุดชนวนสุดเฉพาะหน้าที่ทำให้สองฝ่ายยิ่งปะทะกันอีก
แต่ก่อนจะไปรอนั้น..
ขอสรุปให้คิดกันแบบง่าย ๆ ว่า… ในโลกอันไร้ศูนย์กลางที่ต่างคนต่างตะโกนว่า
“ฉันคือเจ้าของบิตคอยน์!”
สุดท้าย “ใครกันแน่เป็นผู้ตัดสินทิศทาง?” หรือแท้จริง “ชัยชนะ–ความพ่ายแพ้” ก็ไม่มีอยู่จริงในสงครามแบบนี้…
เอาจริง ๆ การตัดสินใจของไม่กี่คน หรือการร่วมตัวของยูสเซอร์กระจัดกระจาย ก็ล้วนมีสิทธิเปลี่ยนอนาคตของเงินดิจิทัลได้ทั้งสิ้น จึงเป็นเสน่ห์และความโกลาหลของ “decentralization” ที่น่าหลงใหล
ไม่มีใครสั่งใครได้เต็มร้อย แต่ก็ไม่มีใครจะหยุดคนอื่นได้หมดเช่นกัน
เมื่อมองย้อนกลับไป.. นี่แหละเป็นบทเรียนสำคัญว่าบิตคอยน์ไม่ได้เป็นของใครคนเดียว และถ้าวันหนึ่งไฟสงครามลุกลามขึ้นอีกรอบ เราทุกคนจะรับมือกันยังไง?
ตอนนี้สงครามอาจดูเงียบ ๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดฉากสนิท เพราะคลื่นใต้น้ำยังพร้อมระอุขึ้นได้ตลอด
เวลาเท่านั้นที่จะบอกว่า SegWit จะพิสูจน์ตัวเองได้ไหม หรือฝ่าย Hard Fork จะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
จึงมีแต่คำถามค้างคาว่า.. อีกหน่อยบิตคอยน์จะยังเป็นบิตคอยน์ในแบบที่เรารู้จัก? หรือจะเปลี่ยนโฉมตามรอยแผลที่สงคราม Blocksize ทิ้งไว้?
คอยติดตามกันต่อไปในบทความตอนที่ 2
เพราะนี่อาจเป็นวัฏจักรที่ยังไม่รู้วันสิ้นสุดจริง ๆ ก็ได้ครับ…